วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Windows XP : ชอร์ตคัตสำหรับรีสตาร์ต

ชอร์ตคัต ยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับมือใหม่อีกหลายๆ คน เพราะบางทีการที่จะให้มานั่งจำว่า ต้องกดหลายๆ ปุ่มพร้อมกัน หรือมีขั้นตอนการคลิ้กเกินกว่า 3 ครั้ง แถมแต่ละครั้งมีไดอะล็อกบ็อกซ์พร้อมปุ่มต่างๆ ให้ต้องตัดสินใจอีก ถ้าคลิ้กผิดก็อาจสร้างความเสียหายตามมาอีก สารพัดความกลัวที่มือใหม่มีต่อการใช้งาน ซึ่งความจริงมันไม่ได้ยากเลย แต่เมื่อเป็นความต้องการของเพื่อนๆ แล้ว นายเกาเหลาจะปฏิเสธได้อย่างไร จริงมั้ยครับ ?

ก่อนหน้านี้ นายเกาเหลาเคยแนะนำวิธีสร้างชอร์ตคัตสำหรับชัตดาวน์ระบบมาแล้ว แต่ก็ไม่วาย ล่าสุดมีผู้อ่านอยากได้ชอร์ตคัตไว้สำหรับรีสตาร์ตระบบ ว่าแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่า ขั้นแรกคลิ้กขวาบนเดสก์ทอป เลือกคำสั่ง New, Shortcut จากนั้นในช่อง Type the location of the item ให้พิมพ์คำสั่งข้างล่างนี้เข้าไปครับ

%windir%\System32\shutdown.exe –r

คลิ้กปุ่ม Next ตั้งชื่อชอร์ตคัตว่า Restart ในช่อง Type a name for this shortcut แล้วคลิ้กปุ่ม Finish เพียงแค่นี้ คุณก็ได้ไอคอนชอร์ตคัตสำหรับรีสตาร์ตระบบแล้ว ไม่เชื่อก็ลองดับเบิลคลิ้กบนชอร์ตคัตอันนี้ เพื่อนๆ จะเห็นว่า ระบบจะรีสตาร์ตตัวเอง

ข้อสังเกต: ความลับของชอร์ตคัต Restart อยู่ที่สวิตช์ของคำสั่ง shutdown.exe นั่นก็คือ –r ซึ่งในกรณีของชอร์ตคัตสำหรับชัตดาวน์นั้น สวิตช์ที่ใช้จะเป็น –s คงจะจำกันได้นะครับ

ข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

เตือน!!! ใครใช้ password แบบนี้ เปลี่ยนซะ

สวัสดีค้าบ ผมนายเกาเหลาตัวจิงเสียงจิงมารายงานตัวกับสมาชิกเว็บไซต์ arip ทุกท่าน และเช่นเคยพบนายเกาเหลาก็ต้องมีสารพันทิปเทคนิคมาฝากทุกท่านอยู่แล้ว
วันนี้ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว โดยเฉพาะผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และระบบใดๆ ก็ตามที่ต้องให้ผู้ใช้ป้อนรหัสผ่าน หรือ password ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่หลายคนกลับมองข้าม ยังคงใช้พาสเวิร์ดง่ายๆ เพราะไม่อยากคิด อยากจำ ให้วุ่นวาย แฮคเกอร์ และผู้ไม่หวังดีก็เลยช่วยจำรหัสง่ายๆ เหล่านี้แทนผู้ใช้ซะเลย ข้างล่างนี้เป็น 10 พาสเวิร์ดที่เสียงอันตรายมากที่สุด และใครที่ใช้พาสเวิร์ดเหล่านี้ กรุณาเปลี่ยนด่วนที่สุด เพราะระบบของคุณอาจถูกเจาะได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ...ว่าแล้วไปดูกันครับว่า มีพาสเวิร์ดอะไรบ้าง

1. password
2. 123456
3. qwerty
4. abc123
5. letmein
6. monkey
7. myspace 1
8. password 1
9. blink182
10. (ชื่อของคุณ)

นอกจากไม่ควรเลือกใช้พาสเวิร์ดง่ายเหล่านี้แล้ว ผู้ใช้ยังไม่ควรใช้พาสเวิร์ดอันเดียวกับหลายๆ ระบบ โดยเฉพาะพาสเวิร์ดที่ใช้ในเว็บโซเชียลอย่าง h5, myspace และ facebook เพราะหากถูกแฮคได้ และเป็นพาสเวิร์ดเดียวกันกับอีแบงกิ้งของคุณแล้วล่ะก็...จึ๋ย!!! อย่าให้พูดเลยครับว่า จะเกิดอะไรขึ้น...
ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า ควรใช้พาสเวิร์ดผสมตัวอักษรกับตัวเลข เพราะมันจะใช้เวลาในการเจาะยาก และนานกว่าตัวอักษร หรือคำที่มีความหมาย...แม้นายเกาเหลาจะเคยพูดเรื่องนี้บ่อยแล้ว แต่เนื่องจากเพิ่งจะเดารหัสผ่านเข้าไปในโน้ตบุ๊กของหลานชายได้ด้วยชื่อของเขาเอง...เฮ่อ...

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เชื่อไหม? แฟลชไดรฟ์ใช้ได้นานแสนนาน

คุณผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินมาว่า แฟลชไดรฟ์ ที่นิยมใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ สามารถเขียนข้อมูลได้นับล้านครั้ง โห...อะไรจะคุ้มขนาดนั้น ถ้าใช้ได้นานขนาดนี้จริงก็ดีน่ะสิ แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้ใช้จะพบว่า มันมักมีอันจากไปก่อนเวลาอันควรเรื่อยเลย

คำตอบแบบฟันธงก็คือ แฟลชไดรฟ์ทั่วไปไม่สามารถใช้บันทึกข้อมูลได้ถึงล้านครั้งหรอกครับ ขนาดผู้นำอย่าง Sandisk ยังออกมาบอกเลยว่า หน่วยความจำแฟลชของเขาสามารถทนต่อรอบการเขียนข้อมูล(write cycle) ได้ประมาณ 10,000 ครั้ง ซึ่งสำหรับคำว่า write cycle ในที่นี้หมายความว่า การเขียนและลบไฟล์นั้นออกไป

อย่างไรก็ตาม มันมีความเป็นไปได้ว่า หน่วยความจำบางส่วนในแฟลชไดรฟ์เสียไปแล้ว แต่เราก็ยังสามารถใช้ส่วนที่เหลือได้เป็นปกติ เพียงแต่จะไม่สามารถเขียนข้อมูลลงบนส่วนที่เสียหายได้เท่านั้น ความรู้สึกว่า แฟลชไดรฟ์ของผู้ใช้ก็คือ มันยังปกตินั่นเอง

แฟลชไดรฟ์บางรุ่นที่ฉลาดหน่อยจะมีอัลกอริธึมที่ป้องกันไม่ให้คอมพิวเตอร์เขียนข้อมูลซ้ำลงบนหน่วยความจำเดิมอยู่บ่อยๆ โดยเลือกให้ไปเขียนในบริเวณอื่นบ้าง ด้วยวิธีนี้ก็จะแก้ปัญหาหน่วยความจำบางส่วนเสียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากถูกเขียนบ่อยกว่าบริเวณอื่นนั่นเอง

ด้วยความที่หน่วยความจำประเภทนี้ไม่มีกลไกการเคลื่อนไหวใดๆ โอกาสที่มันจะเสียหายจึงมีน้อย แต่แล้วทำไมเพื่อนของนายเกาเหลาคนนึงถึงได้เปลี่ยนแฟลชไดรฟ์ในระยะเวลาไม่กี่เดือนทุกที พอสอบถามจึงได้ความว่า เขาใช้แฟลชไดรฟ์ในการถ่ายโอนไฟล์งานข้ามแผนก ตลอดจนรับไฟล์จากเครื่องลูกค้า เรียกได้ว่า วันหนึ่งๆ แฟลชไดรฟ์ของเขาต้องเสียบเข้า เสียบออกกับคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ บ่อยมาก ซึ่งมันอาจจะเกิดปัญหากับคอนเน็คเตอร์ยูเอสบีก็ได้ ทำให้ระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในแฟลชไดรฟ์ของเขาได้ ความจริงกรณีนี้ ชิปหน่วยความจำที่อยู่ภายในอาจจะไม่ได้เสียหายเลย แต่เป็นคอนเน็คเตอร์ต่างหากที่มีปัญหา

นอกจากนี้ การถอดแฟลชไดรฟ์ออกจากเครื่องขณะที่กำลังเขียนข้อมูลเข้าไป หรือใช้แฟลชไดรฟ์กับโน้ตบุ๊กที่แบตกำลังจะหมด เหตุการ์ณทั้งสองนี้ ระบบจะแจ้งว่า มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับแฟลชไดรฟ์ได้เหมือนกัน

สำหรับข้อผิดพลาดเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่า แฟลชไดร์ฟของคุณเสียแล้ว วิธีแก้ง่ายๆ ก็เพียงแค่ฟอร์แมตใหม่ อาการเพี้ยนก็จะหายไปแล้วครับ ยกเว้นปัญหาเกิดจากคอนเน็คเตอร์ USB

เพื่อความมั่นใจ ควรเลือกใช้แฟลชไดรฟ์จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ อย่าซื้อเพราะแค่ถูกอย่างเดียว เพราะข้อมูลสำคัญที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์อาจมีมูลค่ากว่าราคาของมันหลายเท่านัก และที่สำคัญอย่าไว้ใจอุปกรณ์พวกนี้มากเกินไป ควรจะทำสำรองไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ ไว้บนสื่อบันทึกอื่นๆ ไว้ด้วย ขอให้คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน โชคดีนะครับ

ข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

เตือน!!! แช่แข็งแบตฯโน้ตบุ๊กระวังบึ้ม

ก่อนอื่นต้องขอบคุณเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่านที่ให้การต้อนรับบทความของนายเกาเหลานะครับ วันนี้นายเกาเหลาก็มีบทความที่น่าสนใจมาฝากเพื่อนๆ อีกเช่นเคย โดยเฉพาะผู้ใช้โน้ตบุ๊กไม่ควรพลาด!!!น้องสาวนายเกาเหลาถามว่า การนำแบตฯโน้ตบุ๊กที่เสื่อมคุณภาพไปแช่เย็น จะทำให้มันสามารถนำกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม หรือไม่? คำตอบคือ อย่าแม้แต่กระทั่งคิดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ ที่ใช้กับโน้ตบุ๊ก หรือแบตเตอรี่ปกติทั่วไป

เพราะเวลาที่แบตเตอรี่ถูกแช่แข็ง มันจะขยายตัว ซึ่งอาจทำให้ตัวถัง หรือชิ้นส่วนที่อยู่ภายในแบตฯ เสียหาย และยังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อนำแบตเตอรี่ไปใช้แล้วมันเกิดติดไฟขึ้นมาได้ ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในแบตเตอรี่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการลุกไหม้จนทำให้ต้องมีการเรียกคืนแบตเตอรี่หลายล้านก้อนที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ บางเหตุการณ์ถึงขั้นไฟไหม้บ้านเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม คุณสามารถนำแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ หรือแบตเตอรี่สำรองไปเก็บไว้ในตู้เย็นได้ แต่ต้องไม่ใช่ช่องแช่แข็งนะครับ ประเด็นที่ควรทำความเข้าใจก็คือ การนำแบตเตอรี่ไปใส่ตู้เย็นไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม แต่มันช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น

เนื่องจากความร้อนเป็นศัตรูตัวฉกาจของแบตเตอรี่ ดังนั้น การลดความร้อนจึงเป็นการยืดอายุของแบตฯ ไปโดยปริยาย การรักษาความเย็นให้กับแบตเตอรี่จะทำให้มันไม่เสื่อมเร็วนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขีวิต"มัลติทาสก์"ทำได้มากแต่ไม่ค่อยดี

บทวิเคราะห์จากงานวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพของการใช้ชีวิตที่ต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน หรือ multitasking lifestyle ว่าเป็นอย่างไร? เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว โดยหากสังเกตผู้คนรอบๆ ตัวเราในปัจจุบันจะพบว่า พฤติกรรมการทำ"หลายอย่าง"พร้อมๆ กันได้หล่อหลอมกระบวนการคิดแบบใหม่ ตลอดจนความสนใจที่ถูกรบกวนได้ง่ายจนหาโฟกัสเรื่องที่สนใจไม่ได้เลย แม้จะปิดคอมพ์ หรือมือถือไปแล้วก็ตาม คุณผู้อ่านล่ะครับ เป็นอย่างนี้บ้าง หรือเปล่า?

ผลจากการทดสอบความสามารถในการให้โฟกัสในเรื่องทีกำลังสนใจกับกลุ่มนักเรียนที่ต้องเผชิญกับข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาจากหลากหลายช่องทาง ตั้งแต่อ่าน-เขียนอีเมล์ ท่องเว็บสืบค้นข้อมูล ดูคลิปวิดีโอ แชต และโทรคุยกับเพื่อนๆ ปรากฎว่า นักเรียนกลุ่มนี้จะมีโฟกัสในเรื่องต่างๆ แย่กว่ากลุ่มที่ไม่ค่อยต้องทำหลายอย่าง (low-multitasking)

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีที่ทำหลายงาน อย่างเช่น เด็กๆ จะทำการบ้านได้แย่มากในขณะที่ดูทีวีไปด้วย ขณะเดียวกัน พนักงานจะมีผลิตภาพการทำงานทีดีขึ้นเมื่อไม่ต้องคอยตรวจสอบอีเมล์ทุกๆ 5 นาที "เราต้องการทราบว่า มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อผู้คนต้องทำหลายงานตลอดเวลา?" คลิฟฟอร์ด แนสส์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระบวนการคิดจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว

ผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ใน Proceedings of the National Academy of Sciences เมื่อวันจันทร์ทีผ่านมา โดยเขาและทีมงานได้ทำการศึกษากลุ่มนักเรียนตัวอย่าง 262 คนที่มีกิจวัตรประจำวันคือ "บริโภคสื่อ" หลากหลาย ซึ่งทีมวิจัยได้เปรียบเทียบนักเรียนที่ใช้ชีวิตแบบมัลติทาสก์สุดๆ กับกลุ่มที่ไม่ค่อยทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน โดยให้ทำแบบทดสอบบนคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อแรกพวกเขาจะต้องจำตัวเลขที่ล้อมกรอบด้วยสี่เหลี่ยมสีแดงที่อยู่รวมกับตัวเลขทีล้อมกรอบสีน้ำเงิน ส่วนข้อสองผู้เข้าร่วมทดสอบจะถูกสังให้จัดหมวดของกลุ่มคำต่างๆ ที่กระจัดกระจายให้เสร็จ แบบทดสอบข้อที่สามจะให้ระบุตัวอักษรที่ต้องการจากบนหน้าจอว่าอยู่ตรงไหนให้ได้ และจะทดสอบซ้ำด้วยการระบุตัวอักษรทีให้ค้นหาในตอนแรกว่าจำได้มากน้อยแค่ไหน โดยในทุกการทดสอบ ปรากฎว่า นักเรียนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดกับการอ่านอีเมล์ ท่องเว็บ คุยโทรศัพท์ และดูทีวี จะสามารถทำแบบสอบถามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"มันเป็นเรื่องของการทดสอบทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน โดยในการทดสอบข้อแรก ผู้ทดสอบที่ทำได้ไม่ค่อยดี จะมีปัญหาเรื่องการแยกแยะข้อมูลข่าวสารทีไม่สัมพันธ์กัน เมื่อขาดสมาธิ (ให้เลือกเฉพาะตัวเลขที่ล้อมกรอบด้วยสีแดง) ส่วนการทดสอบที่สอง จะสะท้อนผลลัพธ์ของความสามารถในการจัดแบ่งสิ่งของ หรือเรื่องราวต่างๆ ในสมอง และข้อสุดท้ายจะทดสอบความเร็วในการสลับการทำสิ่งหนึ่งไปอีกสี่งหนึ่ง (จากให้มองหาเปลี่ยนเป็นจดจำ)" ทีมวิจัย อธิบายจุดประสงค์ของแบบทดสอบแต่ละข้อ

ความจริงแบบทดสอบที่ใช้เป็นเรื่องง่ายๆ และซับซ้อนน้อยกว่าสิ่งทีเกิดขึ้นในชีวิตจริงมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า ปัจจุบันมีแรงกดดันมากมายจากสังคมที่่ทำให้ผู้คนวันนี้ต้องใช้ชีวิตแบบมัลติทาสก์ โดยเฉพาะการที่พวกเราอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสารทีสามารถหลั่งไหลได้หลายช่องทาง บางคนต้องคอยทวีต อีเมล์ IM กับเพื่อนๆ หลายคน และเข้าไปในเว็บเพื่อดูข้อมูลอีกมากมายทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ไปจนถึงวิดีโอ ซึ่งมันกลายเป็นภาระที่ผูกติดชีวิตประจำวันไปแล้ว

Firefox : ปิด Auto-Complete ใน Address Bar

จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผู้ใช้บางท่านไม่ค่อยชอบฟังก์ชัน Auto Complete ที่ช่วยแนะนำแอดเดรสที่กำลังพิมพ์ด้วย URL ก่อนหน้านี้ที่เคยเข้าไปเยี่ยมชมในช่อง Address Bar ของ Firefox บ้างก็บอกว่า รำคาญ ที่มันคอยจะโผล่ขึ้นมา เลยอยากทราบวิธีปิดการทำงาน (disable) ฟังก์ชันนี้ ขอมา นายเกาเหลาก็จัดให้ครับ

งานนี้ไม่ได้เข้าไปแก้ที่ about:config แต่จะเข้าไปแก้ไขไฟล์ userChrome ซึ่งปกติถ้าเป็น Windows Vista/XP/2000 จะอยู่ในโฟลเดอร์

%AppData%\Mozilla\Firefox\Profiles\xxxxxxxx.default\chrome

แต่ถ้าเป็น 95/98/ME ก็จะเข้าไปที่

C:\WINDOWS\Application Data\Mozilla\Firefox\Profiles\xxxxxxxx.default\

โดย xxxxxxxx จะเป็นตัวหนังสือสุ่มที่มีความยาว 8 ตัวอักษร
เปิดไฟล์ userChrome.css ใช้โน้ตแพดก็ได้นะครับ จากนั้นพิมพ์ข้อความข้างล่างนี้เข้าไปครับ

/* Hide auto-complete in address bar */
#PopupAutoComplete, .autocomplete-tree {
visibility: hidden !important;
display: none !important; }

/* Remove arrow from Address bar */
.autocomplete-history-dropmarker {
display: none !important; }

จัดเก็บและปิดไฟล์ userChrome แล้วลองเปิดบราวเซอร์ Firefox อีกครั้ง คราวนี้ลองพิมพ์แอดเดรสของเว็บไซต์ใดๆ ก็ได้ที่เข้าไปประจำ จะสังเกตว่า ไม่มี Auto-Complete มากวนใจอีกแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

Windows XP : ถังขยะหาย ภาค 2

ความจริงนายเกาเหลาเพิ่งตอบคำถามเกี่ยวกับอาการถังขยะบนเดสก์ทอปหายไป เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดได้รับคำถามทำนองนี้อีก นายเกาเหลาก็เลยย้อนกลับไปดูคำตอบก่อนหน้านี้ ปรากฏว่า เป็นการแก้ปัญหาถังขยะ หรือ Recycle Bin ของ Windows Vista แต่อีเมล์ที่สอบถามเข้ามาครั้งนี้มาจากผู้ใช้ Windows XP ครับ ก็เลยถือโอกาสตอบในตอนนี้เลยแล้วกันนะครับ

วิธีแรก คลิ้กขวาบนพื้นที่ว่างของเดสก์ทอปแล้วเลือกคำสั่ง Properties คลิ้กแท็บ Desktop แล้วคลิ้กปุ่ม Customize Desktop สังเกตตรงกลางของไดอะล็อกบ็อกซ์จะมีไอคอนต่างๆ ที่มักจะพบเห็นบนเดสก์ทอป คลิ้กเลือกไอคอนรูปถังขยะ Recycle Bin แล้วคลิ้กปุ่ม Restore Default จากนั้นคลิ้กปุ่ม OK คราวนี้ลองกลับไปสังเกตเดสก์ทอปของคุณ ซึ่งตอนนี้ ไอคอน Recycle Bin ควรจะกลับมาแล้ว แต่ถ้ายังไม่เห็นก็อย่าหมดหวังนะครับ เพราะนายเกาหลายังมีอีกวิธีหนึ่งที่อยากให้ลองพยายามอีกครั้ง

วิธีที่สอง ให้คลิ้กขวาบนพื้นที่ว่างของ Taskbar จากนั้นเลือกคำสั่ง Toolbars เลือก Desktop สังเกตที่ท้ายสุดของ Taskbar (ติดกับ System Tray) จะปรากฏคำว่า Desktop ที่ข้างๆ มีปุ่มหัวลูกศรซ้อนกัน ให้เพื่อนๆ คลิ้กขวาบนปุ่มลูกศรดังกล่าว ซึ่งคุณจะเห็นออปชันของไอคอนต่างๆ มากมายปรากฏขึ้นมา แน่นอนว่า หนึ่งในนั้นควรจะต้องมี Recycle Bin อยู่ด้วย ให้เลื่อนไฮไลต์ไปยังรายการดังกล่าว คลิ้กค้างลากแล้วนำไอคอน Recycle Bin มาวางบนเดสก์ทอป Windows XP จะติดตั้งไอคอน Recycle Bin บนเดสก์ทอปให้กับเพื่อนๆ โดยอัตโนมัติ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จอีก นายาเกาเหลาก็ยังมีวิธีสุดท้ายมานำเสนอครับ

วิธีที่สาม คลิ้กขวาบนพื้นที่ว่างของ Taskbar ไปที่ Toolbars เลือกคำสั่ง New Toolbar… ซึ่งเพื่อนๆ จะพบว่า มันมีตัวเลือก Recycle Bin อยู่ในนี้ด้วย ให้คลิ้กลากแล้ววางไอคอนของ Recycle Bin ที่เห็นลงบน Desktop ของคุณ เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

นายเกาเหลาเชื่อว่า ถ้า RecycleBin ของคุณไม่เสียหายร้ายแรง หรือระบบปฏิบัติการไม่เอ๋อจนเกินไป ทั้ง 3 วิธีนี้จะต้องมีวิธีหนึ่งที่ช่วยเรียกถังขยะกลับมาได้อย่างแน่นอนครับผม

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไขปัญหาอุปกรณ์ทำงานผิดพลาด

ฮาร์ดดิสก์บูตไม่ขึ้น
จริงแล้วสาเหตุที่ฮาร์ดดิสก์บูตไม่ขึ้นนั้นหลายครั้งมักเกิดจากความผิดพลาดทางด้านซอฟต์แวร์ ส่วนสาเหตุทางด้านฮาร์ดแวร์นั้นส่วนใหญ่มักเกิดจากฮาร์ดดิสก์มีแบดเซ็กเตอร์เป็นจำนวนมาก หรือเกิด แบดเซ็กเตอร์บริเวณพื้นที่ที่เก็บข้อมูลสำคัญของฮาร์ดดิสก์จึงทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถบูตขึ้นมาได้ โดยจะแสดงอาการเงียบไปเฉยๆ หลังจากที่บูตเครื่องขึ้นมาแล้ว หรืออาจฟ้องขึ้นมาว่า No Boot Device หรือ Disk Boot failure Please insert system disk and please anykey to continue

สำหรับวิธีแก้ไขนั้น ให้เราทำการตรวจสอบแบดเซ็กเตอร์โดยอาจบูตเครื่องขึ้นมาด้วยแผ่นบูตแล้วใช้ คำสั่ง Scandisk หรือโปรแกรม Norton Disk Doctor เวอร์ชั่นดอสตรวจสอบแบ็ดเซ็กเตอร์และซ่อมแซมดูก่อน หากมีแบดเซ็กเตอร์มากก็อาจไม่หาย หนทางสุดท้ายคือทำ Fdisk แบ่งพาร์ทิชั่นใหม่แล้วพยายามกันส่วนที่เป็นแบดเซ็กเตอร์ออกไป

บางครั้งสาเหตุที่ฮาร์ดดิสก์บูตไม่ขึ้น นิ่งเงียบไปเฉยๆ อาจเกิดจากแผ่น PCB ( แผ่นวงจรด้านล่างของฮาร์ดดิสก์ ) เกิดการช็อต วิธีแก้ไขคือให้นำฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกัน สเป็คเหมือนกันมาถอดเปลี่ยนแผ่น PCB ก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ช็อตกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม

หากต้องการกู้ข้อมูลที่สำคัญกลับมาไม่ควรใช้คำสั่ง Fdisk เด็ดขาดเพราะจะทำให้ข้อมูลที่อยู่ภายในฮาร์ดดิสก์ให้เกลี้ยงไปหมด ในที่นี้แนะนำให้ใช้โปรแกรม Spinrite ในการกู้ข้อมูลสำคัญๆ ซึ่งโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างมาเพื่อกู้ข้อมูลภายในฮาร์ดดิสก์โดยเฉพาะ

ปัญหาที่เกิดจากซีพียู
ซีพียูเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตค่อนข้างสูงภายในมีรายละเอียดซับซ้อนโดยจะมีทรานซิสเตอร์ตัวเล็กๆ อยู่รวมกันนับล้านๆ ตัวทำให้หากมีปัญหาที่เกิดจากซีพียูแล้วโอกาสที่จะซ่อมแซมกลับคืนให้เป็นเหมือนเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ช่างคอมพิวเตอร์เมื่อพบสาเหตุอาการเสียที่เกิดจากซีพียูแล้วก็ต้องเปลี่ยนตัวใหม่สถานเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับซีพียูส่วนใหญ่แล้วจะมีเพียง 2 อาการที่ช่างคอมพิวเตอร์พบได้บ่อยๆ อาการแรกคือ ทำให้เครื่องแฮงค์เป็นประจำ และอาการที่สองคือวูบหายไปเฉยๆ โดยที่ทุกอย่างปกติ เช่นมีไฟเข้า พัดลมหมุน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนหน้าจอ สาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากซีพียูมีความร้อนมากเกินไปจนเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็เดี้ยงไปแบบไม่บอกไม่กล่าว เลย สำหรับวิธีแก้ปัญหาก็คือต้องส่งเคลมสถานเดียว

RAM หายไปไหน Spec 128 MB. ทำไม Windows บอกว่ามีแรมแค่ 96MB. เอง
อาการของ RAM หายไปดื้อ ๆ จะเกิดกับการใช้เมนบอร์ดรุ่นที่มี VGA on board นะครับ ที่จริงก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ส่วนหนึ่งของ RAM จะถูกนำไปใช้กับ VGA ครับและขนาดที่จะ โดนนำไปใช้ก็อาจจะเป็น 2M, 4M, 8M ไปจนถึง 128M. ก็ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งใน BIOS ครับ

"Insert System Disk and Press Enter"
อยู่ ๆ ผมไม่สามารถบูตเข้าสู่วินโดวส์ได้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น โดยจะขึ้นข้อความว่า "Insert System Disk and Press Enter" ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำการปรับแต่งวินโดวส์ เลย

ปัญหานี้เกิดจากบู๊ตเครื่องโดยมีแผ่นดิสก์ที่ไม่มี OS หรือระบบปฎิบัติการอยู่ในไดรว์ A ซึ่งขั้นตอนแก้ปัญหาก็ให้เอา แผ่นไดรว์ A ออกจากนั้นก็กดปุ่ม Enter เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าวินโดวส์ได้แล้ว

ไดรว์ซีดีรอม อ่านแผ่นได้บ้างไม่ได้บ้าง หาแผ่นไม่เจอ แก้ปัญหาอย่างไร
ปัญหานี้มักจะไม่เกิดกับไดรว์ซีดีรอมตัวใหม่ ๆ ครับ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดกับไดรว์ซีดีรอมที่มีการใช้งาน มานานแล้ว หรือประมาณ 1 ปีขึ้นไป และสาเหตุที่เห็นกันบ่อยก็คือหัวอ่านสกปรก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกฝุ่น เข้าไปกับแผ่นซีดี แล้วเราก็นำมันเข้าไปอ่านในไดรว์ ฝุ่นก็เลยเข้าไปติดที่หัวอ่าน พอสะสมมาก ๆ เข้าก็เลย ทำให้เกิด อาการดังกล่าว อ่านแผ่นไม่ได้บ้างละ หาแผ่นไม่เจอบ้างละ วิธีการแก้ไขก็คือทำความสะอาดหัวอ่าน โดยใช้แผ่นซีดีที่ไว้สำหรับทำความสะอาดหัวอ่าน ที่มีขายอยู่ตามร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไปมาใช้ รับรองอาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

ปัญหาของซีดีออดิโอ
ถ้าคุณเล่นซีดีออดิโอใน CD Writer แล้ว Windows Media หรือ CD Playar แสดงข้อความ "Please insert an audio compact disk" หรือ Data or no disk loaded อาจมีสาเหตุมาจากไดรเวอร์ วิธีแก้คือ ให้เปิด Control Panel เลือก Sound &Multimedia คลิก Devices ดับเบิลคลิก ที่ Media Control Devices และ CD Audio Devices (Media Control) คลิก Remove และ Yes คลิก OK เพื่อปิด หน้าต่างทั้งหมดและบูตเครื่องใหม่

อะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้แผ่น CD-ROM เล่นเพลงจนแผ่นแตก
กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วครับ เรื่องไดรว์ CD-ROM ทำแผ่นแตก ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะไดรว์ ที่ผลิตในปัจจุบันมีความเร็วสูง ทำให้เมื่ออ่านแผ่นที่มีคุณภาพต่ำหรือแผ่นที่มีรอยขีดข่วนลึก ๆ ก็ทำให้เกิดสะดุดเป็นผล ทำให้แผ่นแตก ซึ่งปัญหานี้เราจะไม่พบในไดรว์รุ่นเก่า ๆ เลย ทางแก้ก็คือหลีกเลี่ยงการใช้แผ่นที่มีคุณภาพต่ำ หรือแผ่นที่เป็นรอยมาก ๆ

แบตเตอรี่เสื่อมทำอะไรกับเครื่องคุณได้บ้าง
บางครั้งเมื่อเราเปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมาปรากฎว่าเจอกับข้อความ "CMOS CHECKSUM ERROR" หรือไม่เมื่อเราใช้เครื่องคอมฯ ไปเรื่อย ๆ จะสังเกตุเห็นว่านาฬิกาของเครื่องดูเหมือนจะเดินช้าลงนั่น แสดงให้เห็นว่าแบตเตอรี่ที่อยู่ในเมนบอร์ดของเรากำลังจะหมด และถ้ายังคงใช้งานต่อไปโดยไม่หา แบตเตอรี่มาเปลี่ยนก็จะทำให้ค่าต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ใน BIOS SETUP หายไปได้ อย่างเช่นค่าของ ฮาร์ดดิสก์ว่า เป็นชนิดอะไร ทำให้เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ เราจะต้องตั้งค่าเหล่านี้ใหม่ทุกครั้ง

"Bad or Missing Interpreter"
มันคืออะไรปัญหาลักษณะนี้จะเกิดจากไฟล์ Command.com นั้นเกิดความเสียหาย หรือถูกลบทิ้งไป ซึ่งทางแก้ไขก็คือให้คุณทำการ ก๊อปปี้ไฟล์ Command.com จากเครื่องอื่น ซึ่งต้องเป็นวินโดวส์รุ่นเดียวกัน หรือจากแผ่น Start Up ดิสก์ที่สร้างจากเครื่อง คุณก็ได้ โดยเมื่อก๊อปปี้ไฟล์ได้แล้วก็ให้ใส่แผ่นในไดรว์ A แล้วเข้าไปที่ A : Promt จากนั้นก็พิมพ์คำสั่ง copy a:\command.com c: เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานคอมได้เป็นปกติ

"8042 GATE-A20 Error"
มันคืออะไรหากว่าพบข้อความ 8042 GATE-A20 Error ปรากฎขึ้นมา นั่นแสดงว่าชิปที่ควบคุมการทำงานของแป้นพิมพ์บนเมนบอร์ด มีปัญหาหรืออาจเกิดจากปลั๊กเสียบไม่แน่น ให้คุณทำการปิดเครื่องแล้วลองขยับปลั๊กให้แน่นขึ้นดู หากยังไม่หายนั้นแสดง ว่าเมนบอร์ดของคุณมีปัญหาแล้ว ควรที่จะยกไปให้ซ่อมหรือไปเปลี่ยนกับทางร้านที่คุณซื้อมา (ถ้ายังมีประกัน)

ทำไมเสียงไม่สามารถแสดงออกมาพร้อมกัน 2 เสียงได้
โดยทั่วไปแล้วการ์ดเสียงส่วนใหญ่จะสามารถทำได้อยู่ ปัญหาน่าจะเกิดมาจากการ์ดเสียงหรือว่าโปรแกรม DirectX ซึ่งการแก้ไขก็ให้คุณลองนำการ์ด เสียงตัวที่คุณใช้แล้วมีปัญหา ไปลองกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ดู หรือลองอัพเดต โปรแกรม DirectX ให้สูงกว่าเวอร์ชั่น 6 ถ้าหากไม่หายแสดงว่าการ์ดเสียงของคุณมีปัญหา แล้วละครับ

Disk Boot Failure
สาเหตุอาจเกิดจาก
เกิดจากคุณอาจลืมแผ่นดิสที่บูทไม่ได้ไว้ในไดร์ฟ A: หรือ แผ่น CD ไว้ในไดร์ฟ CD (กรณีตั้งซีมอสให้บูทที่ซีดีได้) หรือเกิดจากฮาร์ดดิสที่เป็นตัวบูท C: ไม่สามารถใช้งาน ได้หรือมีการเปลี่ยนแปลงค่าในซีมอสทำให้ไม่ตรงรุ่นของฮาร์ดิส

การแก้ปัญหา
1. ตัว Harddisk มีจานแม่เหล็กที่มีผิวเสียหายมากไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
2. ขณะที่ทำการ Scandisk ใช้เวลานานหลายชั่วโมงหรือพบพื้นที่เสียหายมากและต่อเนื่องให้ยกเลิกไปทำการ Format แทน (แต่โอกาสที่จะใช้ได้มีน้อยมากเนื่องจากผิวจานแม่เหล็กเสียหายมาก)
3. ตัวควบคุม Harddisk หรือสายแพรที่ใช้ต่อ Harddisk กับ Controler บน MainBoard เสียหรือเสื่อมสภาพ (จะมีโอกาสเกิดน้อยกว่าความเสียหายบนตัว Harddisk เอง) หลังจากทำตามขั้นตอนต่างๆ แล้วยังเกิดอาการดังกล่าวอีกให้ทำการ Format Harddisk ตัวนี้ โดยทำดังนี้
1. Boot เครื่องด้วยแผ่น Startup Disk
2. เรียกคำสั่ง Format แบบเต็ม (Full Format) ดังนี้ โดยพิมพ์คำสั่งที่เอพร้อม a:/format c:/s และกด Enter และ ตอบ y และ Enter
3. ในขณะที่ทำการ Format โปรแกรมจะทำการตรวจสอบพื้นผิวของจานแม่เหล็กถ้าพบจุดเสียที่ใดก็จะทำการบันทึก ไว้ในตาราง FAT ของตัว Harddisk เพื่อไม่ให้โปรแกรม อื่นๆ นำพื้นที่นี้ไปใช้ได้อีก (จุดที่เสียจะเรียกว่า BAD Sector)
4. จากนั้นก็สามารถนำไปลง OS Program ต่อไปได้
5. หากยังเกิดอาการดังกล่าวอีกแนะนำให้เปลี่ยนตัว Harddisk ครับ คงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ

Harddisk ไม่ทำงาน (ไม่มีเสียง Motor หมุน)
สาเหตุอาจเกิดจาก
1. เกิดจากไม่มีไฟเลี้ยงตัว Mortor และวงจรควบคุมตัว Mortor
2. ตัวควบคุมการทำงาน (Controler) บนตัว Harddisk เสียหาย
3. สายบางเส้นที่ต่อจาก Harddisk กับตัวควบคุมบน Mainboard หลวมหรือหลุดหรือเกิดสนิม

การแก้ปัญหา
1. ตรวจสอบสายต่อไฟเลี้ยงดูว่าแน่นหรือเกิดสนิมหรือเปล่า โดยการถอดออกมาแล้วตรวจดูว่าเป็นปกติหรือไม่ แล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่
2. เปลี่ยนสายไฟเลี้ยงที่ต่อให้กับตัว Harddisk เส้นใหม่ดูว่าใช้งานได้หรือเปล่า
3. ทดลองเปลี่ยนสายแพร หรือถอดออกดูก่อนแล้วเปิดเครื่องเพื่อดูว่าทำงานได้หรือเปล่า
4. อาจลองนำเอาสายไฟเลี้ยงที่ต่อให้กับ CD-ROM Drive มาต่อดูก็จะรู้ได้ว่าสายจ่ายไฟเลี้ยงเสียหรือเปล่า

Sector not fond error reading in drive C:
สาเหตุอาจเกิดจาก
1. ปัญหานี้จะคล้ายกับอาการ Data error reading in drive C: หรือ BAD Sector แต่ส่วนที่เกิดปัญหานี้จะเกิดกับส่วนของ File Allocation Table (FAT) ไม่ใช่ที่ตัวพื้นที่เก็บข้อมูลจริง
2. ส่วนของฮาร์ดดิสที่ใช้ในการเก็บข้อมูลของ FAT มีปัญหาเช่นเกิดการเสื่อมของสารแม่เหล็กหรือเกิดรอยที่ผิวของจานแม่เหล็ก เนื่องจากหมดอายุการใช้งาน

การแก้ปัญหา
1. ทำเช่นเดียวกับปัญหา BAD Sector แต่ในส่วนโหมดของการ Scan ให้เลือกเป็นแบบ Standard ก็พอ โดยโปรแกรมจะทำการตรวจในส่วนของ File Allocation Table (FAT) และ Folders และเมื่อโปรแกรมตรวจพบข้อผิดพลาดก็จะทำการซ่อมแซมค่าที่ผิดพลาดนั้นๆ ให้กลับเป็นปกติ หรืออาจบันทึกเป็นชื่ออื่นแต่ตัวข้อมูลจะยังอยู่ซึ่งเราต้องเข้าไปแก้ไขเองอีกครั้ง ซึ่งปัญหาที่มักจะเกิดก็ได้แก่ Cross link, Folders error ที่เกิดขึ้นในตาราง FAT ซึ่ง Files ที่มักจะสร้างปัญหาบ่อยๆ ก็ได้แก่ประเภทที่มีส่วนขยายเป็น TMP ซึ่งมักจะถูกเก็บอยู่ที่โฟเดอร์ชื่อ TEMP (c:\windows\temp) ซึ่ง Files เหล่านี้ จะถูกสร้างจากโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ เช่น โปรแกรมเวิร์ดโปรเซสซิ่ง ซึ่งผู้ใช้งานควรที่จะทำการลบ Files พวกนี้ทิ้งเป็นประจำ การลบ temp files ทำได้โดยการเข้าไปที่โฟรเดอร์ดังนี้ และทำการเลือกทุก files และกดปุ่ม DELETE ที่แป้นคีบอร์ด (C:/windows/temp/*.tmp)
2. หากแก้ไขตามข้อแรกไม่ได้ผลควรที่จะทำการ Format ฮาร์ดดิสใหม่ และลงโปรแกรมใหม่เพื่อเป็นการจัดและเริ่มต้นระบบใหม่ซึ่งจะมีผลให้ความเร็วในการทำงานของเครื่องเพิ่มขึ้นด้วย ก่อนการทำการ Format ฮาร์ดดิสต้องแน่ใจว่าไม่มีความจำเป็นต้องรักษาข้อมูลบนตัวฮาร์ดดิส หรือได้สำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ในสื่ออื่นๆ แล้ว การ Format ทำได้โดย Boot เครื่องด้วยแผ่น Startup Disk แล้วใช้คำสั่ง a:/format c:/s เพื่อทำการจัดเตรียมพื้นที่ใหม่ โดยโปรแกรมจะทำการตรวจสอบพื้นผิวของแผ่นจานเก็บข้อมูล และเมื่อไม่สามารถอ่านพื้นผิวบริเวณใดก็จะระบุตำแหน่งจุดที่เสียบนพื้นผิวเพื่อที่โปรแกรม Windows จะไม่ไปใช้พื้นที่นั้นในการเก็บข้อมูล

การป้องกันปัญหา:
1. ทำการ Scandisk ทุกๆ สัปดาห์
2. ลบ temp files ใน Windows/temp ทิ้งให้หมดหลังจากการทำ Scandisk แล้ว (ก่อนทำการ Scandisk และลบ temp file ทิ้ง ควรทำการปิดโปรแกรมทุกตัวก่อนทุกครั้ง)
3. ใช้โปรแกรม Disk Cleanup ช่วยในการลบ files ที่ไม่จำเป็นทิ้งโดยเริ่มต้นที่ Start Menu/Programs/Accessories/System tools/Disk Cleanup จากนั้นทำเครื่องหมายถูกที่หน้า Temporary files

Data Error Reading in Drive C:
สาเหตุอาจเกิดจาก
เนื่องจากโปรแกรมไม่สามารถอ่านข้อมูลจากผิวของตัวจานเก็บข้อมูลได้

การแก้ปัญหา
เรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาโดย
1. ดับเบิลคลิกที่ My Computer
2. ชี้ mouse ไปที่ Drive ที่ต้องการจะทำการ Scan
3. คลิกปุ่มขวาของ Mouse เลือก Properties
4. เลือก TAB Tools
5. กดปุ่ม [Check Now...] บน Windows Propeties
6. เลือกรูปแบบการ Scan เป็น [Thorough]
7. ทำเครื่องหมายถูกหน้า Automatically fix errors
8. เริ่มทำการ Scan โดยกดที่ปุ่ม Start
9. เมื่อทำการ Scan จนเสร็จแล้วจะมีหน้าต่างแสดงค่าที่ทำการ Scan ให้ดู (ScanDisk Results- [c:] ให้สังเกตุดูที่หัวข้อ bytes in bad sectors ถ้ามีตัวเลขขึ้นแสดงว่าโปรแกรม Scan ตรวจพบส่วนที่เสียหายของผิวจานแม่เหล็กของ Hardisk
10. กดปุ่ม close เพื่อทำการปิดโปรแกรม ScanDisk
11. ในขณะนี้โปรแกรม ScanDisk จะทำการตรวจสอบส่วนต่างๆ ของ Harddisk เรียบร้อยแล้วและได้ทำการทำเครื่องหมายบริเวณที่ไม่สามารถอ่านได้แล้วลงบนตารางแฟ็ท (FAT=File Allocation Tables), Folders หลังจากทำการ Scandisk เสร็จแล้วอาการดังกล่าวน่าจะหายไป

ซีดีรอมไม่อ่านจะทำอย่างไร

ซีดีรอมหากใช้ไปนานๆ อาจจะอ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง และอาจจะอ่านไม่ได้เลยก็มีเช่นกัน ซึ่งมีวิธีการแก้ไขดังนี้
1. ทำการล้างหัวอ่านซีดีรอมครับ (CD-Cleaner)
2. วิธีแรกยังไม่ได้ผล ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากการที่คุณใส่แผ่นซีดีก่อนที่โปรแกรมจะอ่านก็เป็นไปได้ครับ
3. ถ้าไม่ใช่ทั้ง 2 กรณี ก็เกิดจากหัวอ่านมีปัญหาแล้วล่ะครับ แก้ไขได้โดยวิธีปรับโวลุม VR เรียกกันว่า Variable Resister ซึ่งเป็นสกูที่หัวอ่านครับ เรามาเตรียมเครื่องมือกันก่อนครับ
1. ไขควงขนาดเล็ก 2. ไขควงสองแฉกหรือสี่แฉกครับและเครื่องซีดีรอมที่มีปัญหา

วิธีการถอดที่ยึดรางซีดี
1. ดึงรางซีดีออก
2. งัดที่ยึดรางซีดี
3. ดึงหน้ากากซีดีรอมออก โดยใช้ไขควงกดที่ยึดทั้งสี่ด้านแล้วถอดน็อตยึดตัวถังโลหะให้หมดแล้วงัดตัวถังโลหะ
4. ถอดฝาครอบซีดีรอมออกให้หมด
5. ใช้ไขควงหมุนหัวปรับ VR ไปตามเข็มนาฬิกาประมาณ 10-20 องศา
6. หมุนเสร็จแล้วอย่าเพิ่งประกอบเข้าเครื่องนะครับ เพราะจะยังใช้งานไม่ได้อยู่ ให้คุณลองใส่แผ่นซีดีแล้วลองเปิดดูก่อนครับถ้าใช้การได้แล้วจึงจะประกอบเข้าเครื่องครับ แต่ถ้ายังเปิดไม่ได้อีกก็ให้คุณหมุนต่อไปอีกสักประมาณ 3-5 องศา ครับและทำการทดลองจนเปิดได้เสียก่อนจึงค่อยจะประกอบเข้าเครื่องครับ

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 วิธีปลอดภัยจากแฮกเกอร์

1. อัพเดทระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆ โดยเฉพาะโปรแกรม Antivirus ที่คุณใช้งานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์หรือระบบปฏิบัติการตัวอื่นๆ บางครั้งย่อมต้องมีบั๊ก มีช่องโหว่ที่อาจจะเอื้อให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบเข้ามาได้

2. ถึงจะมีโปรแกรม Antivirus อยู่แล้วแต่บางครั้งก็อาจจะมีบางตัวที่หลุดรอดเข้ามาได้ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือควรสแกนอุปกรณ์เก็บข้อมูลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการ์ดหน่วยความจำหรือ Flash Drive ต่างๆ ก่อนนำมาใช้งาน

3. ติดตั้ง Firewall เพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์และเป็นการป้องกันการรับ-ส่งข้อมูลที่คุณไม่ต้องการทั้งจากโปรแกรมสปายแวร์เอง หรือโปรแกรมอื่นๆ ที่อาจจะเป็นการเปิดช่องโหว่ในการโจมตีได้อีก

4. ระมัดระวังการเล่นอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเว็บสำหรับผู้ใหญ่ทั้งหลาย ถ้าเข้าไปอาจจะติดไวรัสหรือโดนแฮกโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

5. บล็อกการทำงานของสปายแวร์ โดยอาจจะใช้ Firewall อย่างที่ได้กล่าวไป หรือใช้โปรแกรม Anti-Spyware มากวาดล้างเลย อย่าปล่อยให้มีสายลับวายร้ายมาอาศัยในเครื่องคุณ

6. ฝึกตัวเองให้เป็นคนรอบคอบ และจำให้ขึ้นใจว่าปลอดภัยไว้ก่อน การให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญบางอย่างผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ต้องทำอย่างระมัดระวัง มีอีกวิธีการที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้น อย่างเช่น การเข้ารหัส ข้อมูลก่อนส่ง หรือกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และมีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นเท่านั้น

7. ติดตามข่าวสาร รูปแบบการโจมตีใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อที่จะได้ระมัดระวังและหาทางป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวคุณตลอดเวลา

การรวมกันและแยกกันอยู่บน Taskbar(winXP)

วิธีการเล็กๆน้อยๆที่ำทำให้โปรแกรมเดียวกันแต่เปิดเอาใว้หลายๆหน้าให้อยู่รวมกันหรือแยกกันอยู่ได้บนTaskbar ก็มีส่วนให้ท่านทำงานได้คล่องขึ้นเหมือนกันนะครับ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ

1. ในการเปิดโปรแกรมเดียวกันแต่ต้องเปิดพร้อมกันไว้หลายๆหน้า อย่างเช่น โปรแกรม Internet explorer นั้นท่านจะเห็นว่ามันจะถูกรวมกันเป็นปุ่มเดียวตรงทาสก์บาร์แล้วจะมีตัวเลขกำกับจำนวนหน้าที่เปิดเอาไว้ ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านได้เปิด IE เอาไว้จำนวน7 หน้า ท่านก็จะเห็นว่าตรงทาสก์บาร์มีเพียงปุ่มเดียว แต่รวมเป็นโปรแกรม IE เอาไว้ทั้งหมด เมื่อท่านคลิกเมาส์ที่ปุ่มนี้ก็จะปรากฎรายชื่อขึ้นทั้งหมด 7 รายการที่ท่านได้เปิดไว้ ซึ่งเป็นเมนูที่ winXP ได้กำหนดให้เป็นอย่งนี้ตั้งแต่แรก บางที่การที่มันต้องรวมกันอย่างนี้ก็เป็นการยุ่งยากที่จะทำให้เราไ้ด้ดูว่าเราได้เปิดโปรแกรมในหน้าที่ชื่อว่าอะไรไว้บ้าง แล้วเราจะทำไงดีล่ะที่จะให้มันได้แยกกัน

2. วิธีการที่จะทำให้มันได้แยกกันอย่างที่เราได้ตั้งใจไว้ให้ท่านทำตามขั้นตอนดังนี้
2.1 ให้ท่านคลิกขวาบนที่ว่างของ Taskbar เลือก properties
2.2 คลิกเลือกแท็บ taskbar แล้วคลิกยกเลิกเช็กบ็อกซ์ Goup similar Taskbar Button จากนั้นก็คลิก OK.

3. ให้ท่านลองสังเกตุผลลัพธ์ที่ได้ จะเห็นว่าตรงโปรแกรมที่เคยรวมกันอยู่ก็จะแยกเรียงกันอยู่บนทาสก์บาร์

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตรวจสอบปัญหา Vista แน่นิ่งไปเองบ่อยๆ

เช้าวันจันทร์อย่างนี้ นายเกาเหลาขอเริ่มด้วยปัญหาของผู้ใช้ Vista ท่านหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังว่า ระบบปฏิบัติการกราฟิกหวานเย็นตัวนี้อยู่ๆ ก็มีอาการแช่แข็ง (freezes) ให้เห็นเป็นระยะๆ แบบไม่ทันตั้งตัว อธิบายซะจนเห็นภาพอาการหนาวๆ ร้อนๆ ของผู้ใช้ที่ต้องประสบปัญหาลักษณะนี้คำถามไม่จบแค่นั้นสิครับ เพราะเจ้าตัวบอกว่า ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี อยากตรวจสอบด้วยตนเองก่อนที่จะยกเครื่องไปซ่อม หากสามารถทราบต้นตอของปัญหา เพื่อดำเนินการแก้ไขด้วยตัวเองได้ยิ่งดีใหญ่จะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ข่าวดีก็คือ Vista มาพร้อมกับเครื่องมือที่ช่วยระบุปัญหาของการทำงานได้ด้วยตัวมันเองครับ โดยระบบจะสร้างรายงานสุขภาพของเครื่องให้ผู้ใช้ทราบได้นั่นเอง

ขั้นแรกคลิกปุ่ม Start เลือก Control Panel ดับเบิ้ลคลิกบนไอคอน Performance Information and Tools สังเกตที่ด้านซ้ายของไดอะล็อกบ๊อกซ์ให้คลิก “Advanced tools” จากนั้นคลิก “Generate a system health report” หัวข้อสุดท้าย ระบบปฏิบัติการจะแสดงพรอมพ์ให้ป้อนรหัสผ่านของ admin จากนั้น Vista จะใช้เวลาอีก 2-3 นาทีในการวิเคราะห์ปัญหาให้กับคุณครับ แต่ถ้าดูแล้วยังแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องยกไปให้ช่าง หรือเพื่อนที่เก่งๆ ช่วยดูให้แล้วล่ะครับ ขอให้โชคดีนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

กลัวถูกถ้ำมอง ทำไงดี?

เพื่อนนายเกาเหลากำลังปวดหัวกับปัญหาที่ลงโปรแกรม Logmein (โปรแกรมประเภทรีโมทควบคุมคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น) แต่พอจะลบโปรแกรมออก มันก็ไม่ยอมออก เข้าข่ายดื้อด้าน แถมยังกลัวอีกว่าเครื่องตัวเองจะถูกแอบดู หรือจะมีวิธีตรวจสอบยังไงว่ามีใครแอบดูหน้าจอเราอยู่หรือเปล่า

โปรแกรม Logmein ถือเป็นโปรแกรมประเภท Remote Desktop สำหรับล็อกอินเข้ามาที่เครื่องคอมพ์และควบคุมได้จากระยะไกล ซึ่งหากได้ Uninstall ออกไปแล้วก็จะไม่มีโปรแกรมนี้ค้างอยู่ในเครื่องแล้ว ส่วนการตรวจสอบว่ามีใครเข้ามาดูหรือไม่ มีวิธีตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยให้คุณเปิดหน้าต่าง DOS ขึ้นมา โดยพิมพ์คำสั่ง cmd ในช่อง Run จากนั้นพิมพ์ Netstat 10 (โดยที่ 10 หมายถึงการให้มีการอัพเดตข้อมูลทุก 10 วินาที) ซึ่งคุณสามารถดูได้ว่ามีใครเข้ามาในเครื่องหรือไม่ โดยสามารถดูหมายเลขไอพีแอดเดรสได้ด้วย ส่วนเลขไอพีแอดเดรสของคุณจะแสดงในช่อง Localhost และเลข 127.0.0.1 ซึ่งเป็นการเรียกใช้งานจากเครื่องของคุณเอง เอาละตอนนี้รีบไปตรวจโดยด่วนว่าเครื่องคุณมีใครแอบดูหรือถ้ำมอง?

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเพิ่มหน่วยความจำเสมือน(Virtual Memory)ให้ Windows XP

การเพิ่มความจำเสมือนให้กับระบบก็เป็นการช่วยให้การทำงานของแอพพลิเคชั่นต่างๆทำงานได้ดีขึ้น ผมได้นำเสนอเรื่องของหน่วยความจำเสมือนไปแล้วว่าเป็นอย่างไร ในหัวข้อนี้ก็เป็นวิธีการเปิดใช้งานและเพิ่ม หน่วยความจำเสมือนให้เพียงพอต่อการทำงานของ windows XP ของท่าน เริ่มกันเลยครับ

1. ให้ท่านเปิดหน้าต่าง System Properties ขึ้นมา(กดปุ่ม Windows+ปุ่มPause/Break หรือจะคลิกขวาที่ Mycomputer แล้วเลือก Properties ก็ได้)

2. คลิกที่แท็บ Advance แล้วให้คลิกที่ปุ่ม Setting ภายในกรอบของ Performance

3. อยู่ในหน้าต่าง Performance Options ให้คลิกที่แท็บ Advance แล้วคลิกที่ปุ่ม Change ที่อยู่ในกรอบของ Virtual Memory

4. ให้ท่านคลิกเลือกที่ Custom size: แล้วให้กำหนดค่าได้ตามต้องการครับ แต่ไม่ควรกำหนดค่าให้มากเกินไปครับ เพราะ อาจจะทำให้ช้าไปทั้งระบบก็ได้ครับ ควรให้ค่าสูงสุดอยู่ที่ 2-3 เท่าของRAM ที่ท่านมีอยู่จะดีกว่าครับ

ท่านรู้จักหน่วยความจำเสมือน(Virtual Memory)หรือไม่

โดยทั่วไปแล้วซอร์ฟแวร์จะใช้หน่วยความจำที่เรียกว่า RAM ในการทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าซอร์ฟแวร์ทุกตัวจะสามารถ ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือระบบจะมี RAM ให้ใช้มากพอตามความต้องการ เมื่อท่านมีขนาดของ RAMน้อยและเมื่อระบบใช้งานจนหมดก็จะหันมานำเอา virtual memory ไปใช้เพื่อให้เพียงพอกับการทำงานของซอร์แวร์นั้นๆซึ่ง Virtual Memory นี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ในรูปของไฟล์ที่มีลักษณะพิเศษ โดยที่แอพพลิเคชั่นและระบบจะมองเห็น Virtual memory เป็นหน่วยความจะปกติื เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะสามารถตั้งค่า ความจำเสมือน ให้มากแล้วการ ทำงานต่างๆจะเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจากการตั้งค่าให้กับความจำเสมือนต้องคำนึงถึงพื้ันที่การใช้งานของฮาร์ดดิสก์ของท่าน และระบบปฏิบัติการของท่านด้วย อย่างเช่น Win 98 ท่านสามารถตั้งค่าสุงสุดให้ได้ไม่เกิน 2.5 เท่าของหน่วยความจำ
RAM ที่ท่านมีอยู่ แต่ถ้าเป็น Win2K หรือ Win XP ท่านสามารถตั้งค่าให้มากเท่าที่พื้นฮาร์ดดิสก์ของท่านจะอำนวย จึงเป็นการดีเมื่อท่านมีขนาด RAM น้อยแต่ท่านสามารถตั้งค่าของ ความจำเสมือนให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานของท่านได้

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Folder Options หาย!!!

ถาม: จู่ๆ Folder Option ที่อยู่ในเมนู Tools ก็หายไปเฉยๆ ในหน้าต่าง Control Panel ก็ไม่มี ไม่แน่ใจว่า ติดไวรัส หรือเปล่า แล้วมีวิธีเรียกคืนมาได้อย่างไร ช่วยแนะนำด้วยครับ
ตอบ: มัลแวร์อย่างพวก Adware, Spyware, Browser Hijacker และ Trojan บางตัวจะไม่ยอมให้ผู้ใช้เปลี่ยน Folder Options ในกรณีนี้ แนะนำให้คุณใช้โปรแกรมสแกนตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากสแกนเรียบร้อยแล้ว แต่ Folder Options ยังไม่ปรากฏขึ้นมาอยู่ดี เป็นไปได้ว่า พวกมันเข้าไปกำหนดค่าใน Registry ให้ยกเลิก (disable) ตัวเลือกนี้ออกไป สำหรับวิธีแก้ไขให้กลับคืนมาดังเดิมทำได้ดังนี้

1. เปิดโปรแกรม Registry Editor (คลิกปุ่ม Start -> Run พิมพ์ regedit คลิกปุ่ม OK)
2. ในกรอบด้านซ้ายคลิกเข้าไปที่

HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\policies\Explorer

3. กรอบด้านขวาหากพบว่าคีย์ NoFolderOptions ถูกกำหนดค่าเป็น 1 ให้ดับเบิ้ลคลิกบนคีย์ดังกล่าว แล้วแก้กลับเป็น 0
4. ปิดโปรแกรม Registry Editor


นอกจากเหล่ามัลแวร์ต่างๆ แล้ว โปรแกม TweakUI หรือยูทิลิตี้สำหรับแอดมินบางตัวจะมีการเข้าไปกำหนดไม่ให้แก้ไข Folder Options ได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ คุณจะพบคีย์ NoFolderOptions ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่พบว่า มีคีย์นี้อยู่ใน Registry หรือมันได้รับการกำหนดให้เป็น 0 อยู่แล้ว นั่นแสดงว่า โมดูลในส่วนจัดการ Folder Options ของ Windows XP ถูกทำลาย หรือหายไป ซึ่งวิธีแก้ไขจะยุ่งยากกว่านี้มาก ยังไงก็เอาใจช่วยให้คุณแก้ไขกลับคืนมาได้สำเร็จนะครับ

แท็บใน Task Manager ล่องหน???

ถาม: อยู่ดีๆโปรแกรม Task Manager (กด Ctrl+Alt+Del) บน Windows XP ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผม ไม่ยอมแสดงแท็บใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่รายชื่อโพรเซสต่างๆ จะแก้ให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไรครับ?

ตอบ: ปกติเวลาเรียกโปรแกรม Task Manager ขึ้นทำงาน คุณจะพบว่า มันมีแท็บ Applications, Processes, Networking และ Users อยู่ด้านบนดังรูป
โหมดแสดงผลปกติของ Task Manager
แต่อาการที่คุณเล่าว่า แท็บทั้งหมดหายไปนั้น ความจริงมันเป็นคุณสมบัติของการแสดงผลของโปรแกรมในโหมดกระชับ (compact) โดยคุณสามารถสั่งให้ Task Manager แสดงแท็บทั้งหมด (กลับมาแสดงผลในโหมดปกติ) ได้ด้วยการดับเบิ้ลคลิกบริเวณขอบของหน้าต่างครับ แค่นี้ก็เรียบร้อย ลองทำดูนะครับ

ดับเบิ้ลคลิกบนขอบของหน้าต่าง Task Manager เพื่อกลับไปโหมดการแสดงผลปกติ

การเรียกดู User Account ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องของคุณ

วิธีการนี้จะเป็นการเรียกดู User Account ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องของคุณ ไม่ว่าจะ User Account ที่เปิดเผยหรือซ่อนไว้ท่านสามารถทราบได้ทั้งหมดและท่านยังสามารถเปลี่ยนพาสเวิร์ดได้โดยไม่ต้องจำพาสเวิร์ดเดิมได้ด้วย

1. การเรียกดู User Account
1.1 เปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run ขึ้นมา(Win+R)
1.2 พิมพ์ cmd แล้วคลิกที่ OK
1.3 เมื่อขึ้นหน้าต่าง Command ให้พิมพ์ Net user แล้ว Enter รายการของ account ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องของท่านก็จะปรากฎมาให้เห็นครับ

2. การเปลียนพาสเวิร์ด ให้ User Account
การเปลี่ยนพาสเวิร์ดในกรณีนี้เป็นการดีในกรณีที่ท่านมีการใช้งานหลายแอ็คเคาน์แล้วลืมพาสเวิร์ด เช่น พาสเวิร์ดของAdministrator เป็นต้น เมื่อท่านเรียกดูรายการของแอคเคาน์ ตามข้อ1. แล้วให้ท่านดูรายชื่อที่ท่านต้องการเปลี่ยนแล้วเริ่มกันเลย
2.1 เมื่อท่านอยู่ในหน้าต่างของ Command ให้ท่านพิมพ์ net user ชื่อแอ็คเคานต์ ตามด้วยเครื่องหมาย * แล้วกด Enter ตัวอย่างนะครับ net user anat *
2.2 ถ้าชื่อมีวรรค ก็ให้ใส่เครื่องหมาย "........" (เครื่องหมายคำพูด)ตรงชื่อของแอ็คเคานต์ด้วย เช่น "anat admin" จากนั้นระบบจะถามให้เปลี่ยนรหัสผ่าน ท่านสามารถพิมพ์รหัสใหม่แล้วยืนยันรหัสใหม่ได้เลย โดยไม่ต้องใส่รหัสเดิมถ้าท่านได้รับการแจ้งว่า เรียบร้อย แสดงว่าการเปลี่ยนรหัสนั้นเรียบร้อยแล้วครับ

การลบไฟล์ใน Prefetch

การลบไฟล์ใน Prefetch ก็เ็ป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องสนใจดูแล ไฟล์ Prefetch เป็นเทคนิคให้ที่มีอยู่ใน Windows XP เพื่อช่วยให้การทำงานของวินโดวส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่พอนานขึ้้นที่ท่านใช้งานทุกวันไดเรกทอรี่ Prefetch ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มไปด้วยขยะและลิ้งค์ที่หมดอายุ ซึ่งทำให้การทำงานของระบบช้าลงได้ ดังนั้นท่านควรทำการลบไฟล์ขยะเหล่านั้นทิ้งไป ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกเดือน การลบไฟล์ในไดเรกทอรี Prefetch ให้ท่าน เข้าไปที่ C:\windows\prefetch แล้วทำการลบไฟล์ขยะเหล่านั้นแล้วให้รีสตาร์ทเครื่อง เท่านี้ท่านก็สามารถลบไฟล์ขยะได้แล้ว

แต่ข้อควรกระทำก็คือท่านควรลบแบบไม่ให้ค้างอยู่ใน Recycle bin เพราะเนื่องจากว่าถ้ายังค้างอยู่ในถังขยะ ไฟล์เหล่านั้้นก็ยังเป็นส่วนให้ท่านต้องทำงานอย่างอืดอาดอีกหนครับ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

PC กับ Server ต่างกันตรงไหน ????

Alert ต่างๆ : อันนี้ต้องบอกว่า PC นั้นไม่มี และ Server ประกอบก็ไม่มีเช่นกัน เทคโนโลยี่ Server นั้นก้าวไกลมาก ถึงขนาดที่ Server บางรุ่น สามารถบอกให้คุณได้รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าอุปกรณ์กำลังจะเสีย เสียชิ้นไหน เสียตัวที่เท่าไร ลองนึกภาพ หากคุณใส่ Memory ไปทั้งหมด 8 แถว แล้วเกิด Memory เสีย สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ถอดออกทีละแถว แล้วรันดูว่าอันไหนเสีย แต่เทคโนโลยี่ Server บางยี่ห้อ สามารถกดปุ่มใน board แล้วขึ้นไฟบอกได้เลยว่า Memory แถวไหนเสีย หรือหาก Harddisk กำลังเสีย วิ่งด้วยความเร็วผิด Speed ก็จะแจ้งเตือนที่หน้าเครื่องว่ากำลังจะเสีย สิ่งนี้คุณจะไม่พบได้เลยใน PC หรือแม้กระทั้ง Server ประกอบ

Mainboard : จริงๆแล้ว Mainboard เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ ชื่อก็บอกอยู่ล่ะว่า Main ถามต่อไปว่าต่างกันขนาดนั้น คงต่างกันที่สถาปัตยกรรม Board Server ถูกออกแบบมาให้รันได้ตลอด 24 ชม แต่ PC ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วน Slot ต่างๆก็จะแตกต่างกัน Server โดยส่วนใหญ่จะ Onboard พวกการ์ดจอ และก็เช่นกัน มักไม่มี Sound Card ทั้งที่เพราะส่วนใหญ่นำ Server ไว้ share file รัน application เลยไม่ค่อยฟังเสียงกัน คนที่ใช้งาน multimedia มากๆมักจะใช้ workstation มากกว่า Server

สำหรับความแตกต่างด้านราคานั้น ผมเคยซื้อตัวประกอบ Mainboard PC จะอยู่ที่ 1,500 - 3,000 แต่ถ้า Server ราคามักจะเริ่มต้นที่ 10,000 บาทสำหรับ Mainboard นี่คือพวก Server ประกอบนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ Brand name ก็ถูกกว่าประกอบได้

Power Supply : Power Supply นั้นเป็นส่วนสำคัญ ป็นระบบจ่ายไฟของทั้งระบบ สำหรับตัวนี้นั้นสำหรับ Server ก็เช่นกัน ถูกออกแบบมาให้เปิดใช้งานได้ตลอด 24 ชม เท่าที่ผมเคยซื้อ มันตัวนึงก็ 5 พันกว่าบาทได้ นี่แบบถูกๆเลยนะ แต่เราจะเห็นว่า Power Supply PC มันลูกละ 150 บาทได้มั้ง เห็นว่ามันต่างกัน แล้วผมเคยมีประสบการณ์ บางคนใช้ PC แล้ว Power Supply ไหม้ ส่งผลถึงข้อมูลระบบ มันละลายลงไปโดน mainboard ทำให้ harddisk พังข้อมูลพัง จบเลยงานนี้ ดังนั้นท่านต้องคิดแล้วล่ะว่าข้อมูลท่านสำคัญมากน้อยแค่ไหน

อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับ Server นั้นมีหลายรุ่นที่มี Reduntdant Power Supply นั้นคือ มันมี Power Supply 2 ตัวในเครื่องเดียว ป้องกัน Power Supply พัง แล้วยังเป็น Hot swap ด้วย นั้นคืออันไหนพังเราก็ดึงออกได้เลย โดยไม่ต้องปิดเครื่อง แล้วเสียบเข้าได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องเช่นกัน ก็จะไม่มี Downtime เลยว่างั้น

CPU : CPU นั้นต่างกันแน่นอน แต่ก็มี CPU ที่ไม่ต่างกันคือพวก CPU ตระกูล Pentium ทั้งหลาย บน Server กับ PC นั้นไม่ต่างกัน แต่สำหรับ Server เองที่อยู่ในระดับสูงนิดนึงก็จะมี XEON Processor เป็น Server ที่สำหรับ Server ใส่ได้ตั้งแต่ 2 ตัว 4 ตัว 8 ตัว 16 ตัว แล้วแต่ Mainboard จะเห็นว่าหากคุณรันงานหนักๆ คงไม่มีทางที่จะเอา CPU Pentium เพียงตัวเดียวมาทำงาน งานบางงานระดับ Software House ก็ใช้ Server ตัวนึงเป็นล้านๆ แต่ถามว่าแม้เป็นล้าน มันก็ทำงานได้หลายล้านเช่นกัน สรุปคือ CPU มีจำนวนที่ใส่ได้มากกว่า แล้วสามารถรองรับ Application ที่รันหนักๆได้อย่างดี

Memory : บางคนอาจจะ โห มันต่างกันด้วยเหรอ ต่างครับ Server จะใช้ Memory ที่เรียกว่า ECC Memory จะเป็น Memory ที่มีระบบป้องกันการส่งข้อมูลผิดพลาด อีกทั้ง Memory สำหรับบางยี่ห้อที่เป็น Chipkll คือเป็นเหมือน Mirror Memory เลยทีเดียว คือ หากคุณมี Memory 4 แถว เกิดพังไป 1 แถว ถ้าเป็น PC รันไปถึง Memory ตัวนั้นก็คงแฮงไปเลย แต่ Server ไม่พังคับ ก็ยังรันต่อไปได้ โดยไม่มีสะดุด้
Hard Drive : หรือ Harddisk นั้นแหละ ทำไมต่างกันนั้นเหรอ สำหรับ PC เราคงรู้จัก IDE กัน แล้วก็เดี๋ยวนี้คงเป็น Serial ATA (SATA) มาแทน IDE แต่สำหรับ Server นั้นจะสามารถใช้งาน SCSI ได้ ซึ่งเป็น Harddisk ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แล้วยังมีเทคโนโลยี่ใหม่เรียกว่า SAS (แซด) ฟังดูเศร้าๆ แต่ก็เป็นเทคโนโลยี่ของ SCSI ใหม่ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นไปอีก

RAID Controller : RAID หลายคนอาจจะฟังแล้วไม่คุ้น บางคนก็คงคุ้นเคย ใน PC นั้นไม่มี RAID แน่นอนทำให้เลยไม่คุ้นสักเท่าไร แต่ใน Server นั้น RAID มีความสำคัญมาก ถ้าพูดถึงข้อมูลแล้ว เราคงให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเลยมีเทคโนโลยี่ RAID เพื่อช่วยป้องกัน Harddisk พัง ซึ่งจะทำให้มี Harddisk ที่พร้อมทำงานแทนตลอดเวลาเมื่อลูกใดลูกหนึ่งพัง ก็ไม่ต้องมานั่งกู้ข้อมูล Restore กันให้วุ่นวาย รวมถึง RAID ยังสามารถทำให้ประสิทธิภาพในการเรียกใช้งาน Harddisk ทำได้เร็วขึ้นด้วย ก็มีเช่นกัน ดังนั้นทำให้หลายองค์กรก็เลือกใช้ RAID เพื่อป้องกันข้อมูลที่สำคัญของตนเอง ไว้ผมจะเขียนเรื่อง RAID ให้ว่าแต่ละ RAID ต่างกันอย่างไรมันมีตั้งแต่ RAID 0,1,5,0+1,10 สารพัด RAID

กล่องหรรษา Harddisk Media Player ดูหนังฟังเพลงทำได้โหมดดด

อ่านชื่อตอนแล้วหลายคนคงคิดกันไปต่างๆ นาๆ แต่ช้าก่อนไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆ คิดนะ (ว่าแต่ว่าคิดอะไรกันละเนี๊ย!!) เรื่องของเรื่องนี้เป็นผลมาจากงานคอมมาร์ตที่เพิ่มผ่านมาไม่กี่วัน นายเกาเหลาเองเพิ่งไปเสียเงินซื้อ Harddisk Media Player External ราคาก็ไม่โหดร้ายมากนักแค่หลักพันบาทเท่านั้น ความพิเศษของฮาร์ดดิสก์ตัวที่ซื้อมาก็คือ สามารถดูหนังฟังเพลงได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ให้ปวดเฮด

สำหรับ Harddisk Media Player Box นั้นนับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่โดนใจนายเกาเหลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเจ้ากล่องที่ว่านี้ สามารถเปิดไฟล์หนังเพลงหรือภาพดูได้โดยแค่นำไปต่อกับจอทีวี ส่วนกับคอมพิวเตอร์นี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะทำได้อยู่แล้วแถมเพื่อนๆ ยังสามารถใช้เป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับการแบ็คอัพข้อมูลไฟล์สำคัญต่างๆ ได้อีกด้วย

เวลาเราจะซื้อผู้ขายเขาจะแยกการขายออกเป็นฮาร์ดดิสก์กับ Media Player Box นั่นก็หมายความว่า หากเพื่อนๆ มีฮาร์ดดิสก์อยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเฉพาะ Media Player Box ได้ หรือถ้ายังไม่มีก็สามารถซื้อคู่กันทั้งฮาร์ดดิสก์และกล่องได้เลย วันนี้นายเกาเหลาก็เลยขอใช้พื้นที่กระดาษในคอลัมน์นี้กับไอเดียง่ายๆ ในการเลือกซื้อ Harddisk Media Player Box

สิ่งแรกที่ต้องดูคือฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับพีซีหรือโน้ตบุ๊ก ความแตกต่างของทั้ง 2 แบบ คือขนาดของ Media Player Box จะมีขนาดที่แตกต่างกัน โดยกล่องสำหรับพีซีจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า ข้อดีของกล่องใหญ่คือ จะมีการระบายความร้อนที่ดีกว่า เนื่องจากมักมีการติดพัดลมระบายความร้อน และฮาร์ดดิสก์ของพีซียังมีราคาที่ถูกกว่าฮาร์ดดิสก์ของโน้ตบุ๊ก แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องการเคลื่อนย้ายที่ไม่สะดวกเท่ากล่องที่ใช้กับฮาร์ดดิสก์สำหรับโน้ตบุ๊ก

ส่วนต่อมาที่ต้องดูคือลักษณะการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ของคุณที่มีอยู่ว่าเป็นแบบใดระหว่าง Serial ATA หรือ Sata เพราะคุณจะต้องเลือกซื้อกล่องให้ตรงกับลักษณะการเชื่อมต่อ หากซื้อผิดก็หมายความว่ากล่องที่ซื้อมาก็จะใช้ไม่ได้ นายเกาเหลาขอแนะนำให้ซื้อแบบ Serial ATA จะดีกว่าเพราะใหม่กว่า (ในอนาคตฮาร์ดดิสก์แบบ Sata อาจเลิกผลิตก็ได้) นอกจากนี้กล่องแต่ละแบบก็ยังมีรูปแบบการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หลายแบบ เช่น USB หรือ Firewire ตรงนี้ก็แล้วแต่คุณพึงพอใจส่วนบุคคล

รองรับไฟล์อะไรบ้างส่วนใหญ่แล้ว Harddisk Media Player Box จะสามารถเปิดไฟล์มีเดีย VCD, DVD , Mpeg1, Mpeg2, Mpeg4, AVI , Divx 3.11, 4x,5x , Xvid, หนัง DVD ( IFO , VOB) , VCD (.dat), jpg, bmp, gif, mp3 โดยตรงกับจอทีวีหรือจอภาพคอมพิวเตอร์ และเกือบทุกยี่ห้อจะเพิ่มความสะดวกด้วย Remote Control

การระบายความร้อน เรื่องที่นายเกาเหลาไม่อยากให้มองข้าม เนื่องจากธรรมชาติของการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ที่จะเกิดความตลอดเวลาจากการหมุนของหัวอ่านฮาร์ดดิสก์ ก็อย่างที่นายเกาเหลาได้เกริ่นไว้ตอนต้นว่า บางรุ่นจะมีตัวระบายความร้อนติดตั้งมาด้วย แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการหาที่วางกล่องฮาร์ดดิสก์ในจุดที่ระบายความร้อนได้ดี หรือถ้าจะให้ดีก็หาพัดลมมาช่วยระบายความร้อนเลยก็ได้

ในส่วนฟังก์ชันเสริมอื่นๆ เช่น กดเพียงปุ่มเดียวก็แบ็กอัพ หรือดีไซน์ถูกใจไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล และมีโอกาสได้ลองก็ควรลองก่อน

ข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลบ Cookies แล้วเว็บไซต์ไม่รู้จัก?

ถาม: ผมลบคุ้กกี้ (cookies) ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งล่าสุดผมไม่สามารถกลับเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ขาประจำของผมได้อีก อยากทราบว่า ผมจะต้องแก้ไขอย่างไรเพื่อให้สามารถกลับเข้าไปใช้งานได้เหมือนเดิมครับ?

ตอบ: ปกติ “คุ้กกี้” (Cookies) จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายมากกว่า เนื่องจากมันช่วยให้การเข้าใช้งานบางเว็บไซต์ง่ายขึ้น ดังนั้น ผมมักจะไม่ค่อยแนะนำให้ผู้ใช้ลบมันออกไป การที่เว็บไซต์จำผู้ใช้ไม่ได้ มีสาเหตุหลักๆ 2 ประการคือ คุณได้ลบคุ้กกี้ของเว็บไซต์นั้นออกไปแล้ว หรือกำหนดค่าให้บราวเซอร์กัน(block) ไม่ให้ยอมรับคุ้กกี้ สำหรับวิธีเปลี่ยนค่าการทำงานให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ถ้าเป็น IE ให้คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Internet Options คลิกแท็บ Privacy กำหนดตัวเลื่อนไปที่ Medium คลิกปุ่ม Apply ตามด้วยปุ่ม OK แต่ถ้าเป็น Firefox คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Options แล้วคลิกแท็บ Privacy คลิกเลือก Cookies ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าได้เลือกเช็คบ๊อกซ์หน้าข้อความ “Allow sites to set Cookies” แล้ว คลิกปุ่ม OK เป็นอันเรียบร้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

เขียนซีดีให้ได้ Over ถึง 850 MB

ปกติแล้วแผ่นซีดี 1 แผ่นจะเก็บข้อมูลได้สูงสุดไม่เกิน 700 MB แต่วันนี้นายเกาเหลาจะขอสร้างปาฏิหาริย์ ด้วยการเขียนข้อมูลให้ได้ความจุถึง 850 MB บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้โม้ แต่ทำได้จริง ก่อนอื่น CD-Writer ของคุณจะต้องรองรับเขียนแผ่นแบบ Overburn หรือเขียนแบบ Oversize ได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว CD-Writer ในปัจจุบันก็สามารถใช้งานแบบนั้นได้อยู่แล้ว (นอกเสียจากว่า CD-Writer จะเป็นรุ่นเจ้าคุณทวด อันนี้ก็คงต้องบายทิปนี้ไป)

คราวนี้ให้เปิดโปรแกรม Nero Express ไปเมนู Configure แล้วไปที่ TAB General จากนั้นมาที่รายการ Status bar ในหัวข้อ Yellow marker ใส่ตัวเลข 80 ส่วนช่อง Red marker ใส่ตัวเลข 99 จากนั้นมาที่ TAB Expert Features ใส่เครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Enable Overburn Disk- at- onc และในช่อง Maximum CD size ใส่เลข 99 ลงไปครับ ที่นี้เรามาลองเขียนแผ่นซีดีดู โดยตัวอย่างนี้ผมจะเลือกไฟล์ขนาด 850 MB มาลองเขียนลงไปบนแผ่นซีดีขนาด 700 MB อย่าลืมเลือกการเขียนแผ่นแบบ Disk-at-once จากนั้นก็ Burn แผ่นได้เลย

ระบบจะแจ้งว่า Over Burn Writing ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจอะไรเพราะนี่คือการเขียนเกินขอบเขตของระบบ ทำให้คอมพ์มันถามยืนยันว่าจะเขียนแน่เหรอ...เราก็ตอบไปว่าแน่นอน โดยกดที่ปุ่ม Write Overburn Disc แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับท่าน

แน่นอนว่าเมื่อมีดีมันก็ย่อมมีเสีย โดยข้อเสียของการทำ Overburn คือ มันอาจจะทำให้มีการกระตุก หากมีการใช้งานกับไดรฟ์ CD-Rom บางรุ่น (ที่อาจจะไม่รองรับการเขียน-อ่าน Overburn) หรือบางทีอาจจะอ่านไม่ได้เลยก็มีเพราะมันไม่สามารถเคลื่อนหัวอ่านไปถึงพื้นที่บางจุดบนแผ่น เช่น ขอบด้านนอกของแผ่น เป็นต้นครับ...แต่ถ้าจำเป็นต้องบันทึกข้อมูลใหญ่ๆ เช่นนี้จริงๆ นายเกาเหลาว่าข้อดียอมมีกว่าข้อเสียนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์ทูเดย์

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เข้าบางเว็บมีปัญหา การ block pop-up ยกเลิกอย่างไร

สำหรับผู้ติดตั้งโปรแกรม Internet Explorer (IE) เวอร์ชั่น 6.0 SP2 ที่มาพร้อมกับ Windows XP SP2 จะมีการเพิ่มความสามารถอย่างหนึ่งในการป้องกันปัญหาการใช้งานอินเตอร์เน็ต นั่นคือ คำสั่ง Popup Blocker ซึ่งเป็นโปรแกรมในการช่วยป้องกันการ แสดงหน้าต่างแบบอัตโนมัติ (ซึ่งอาจสร้างความรำคาญให้กับอีกหลายๆ คน) อย่างไรก็ตามเราสามารถแก้ไข ปรุงปรุง หรืออนุญาติให้กับบางเว็บที่เราเชื่อถือว่า ปลอดภัยจากพวก spam หรือไวรัสก็ได้ โดยสามารถเข้าไปปรับปรุงได้ดังนี้

การปรับปรุง แก้ไขคำสั่ง Block
1.ให้คลิกที่บริเวณแถบสีเหลือง จะมีหน้าต่างคำสั่งให้แสดง
2.คลิกเลือก Temporarily Allow Pop-ups ถ้าต้องการอนุญาติ ให้แสดงเป็นบางครั้ง หรือ
3.เลือก Allways Allow Pop-up from this site ถ้าต้องการอนุญาติเว็บไซต์นี้ ให้แสดง Pop-up ได้
4.แค่นี้โปรแกรมก็เป็นอันเรียบร้อย
5.แต่ถ้าต้องการแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมในคราวต่อไป สามารถคลิกเมนู Tools เลือก Pop-up Blocker
6.แล้วเลือก Pop-up Blocker Settings
7.เราสามารถแก้ไขเพิ่มเติม การอนุญาติให้แสดง หรือไม่แสดง Pop-up ในแต่ละเว็บไซต์ที่เราได้กำหนดไปแล้ว เช่นกัน

แต่ถ้าต้องการ การ block Pop-up เลย สามารถคลิกเลือกได้จากเมนู Tools เลือก Pop-up Blocker เลือกหัวข้อ Turn Off Pop-up Blocker

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

เวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน harddisk ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้

วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ
1.คลิกเมนู Tools
2.เลือกคำสั่ง Internet Options
3.คลิกเลือกแท็ป Advanced
4.เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security
5.จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed

6.กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน
7.แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


ข้อมูลเพิ่มเติม:: ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ..

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ส่งเมล์ภาษาไทยใน Outlook Express แล้วขึ้นสี่เหลี่ยมแทน

error "Message Character Set Conflict"

หลายๆ ครั้งที่มีการส่งเมล์ผ่านโปรแกรม Outlook Express แล้ว เกิดข้อความ "Message Character Set Conflict" จะมีหน้าต่างให้เลือกดังภาพประกอบด้านล่าง

ได้ทดลองเลือกทีละอย่าง ก็ปรากฏว่าผู้รับ รับได้แต่มีปัญหาอ่านภาษาไทยไม่ออก

วิธีแก้ไข ให้ทำดังนี้

1.เมื่อเกิดหน้าต่างดังภาพประกอบด้านบน ให้คลิกเลือก Cancel ออกก่อน
2.โปรแกรมจะกลับไปยังหน้าเมล์ ให้คลิกเลือกเมนู Format
3.คลิกเลือก Endcoding
4.คลิก Thai WIndows
5.จากนั้นคลิกปุ่ม Send ปกติได้เลย จะไม่มีหน้าต่างแสดงให้ปรับเปลี่ยน Character Set

หลังจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ให้กลับไป Set ที่โปรแกรม Outlook Express ดังนี้

1.คลิกเลือกเมนู Tools
2.เลือกคำสั่ง Options
3.เลือกแท็ป Send
4.เลือก International Settings
5.Default encoding ให้คลิกเลือก Thai Windows

แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วครับ

ยกเลิก System Restore Windows XP

System Restore เป็นความสามารถในการแก้ไขปัญหาของ Windows โดยเราสามารถทำการย้อนอดีตของการทำงานของ Windows ได้ ก่อนที่จะเกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม System Restore ก็อาจทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างได้เช่น ทำให้เปลืองเนื้อที่ใน Harddisk และอาจเป็นที่เก็บไวรัสได้เช่นกัน การแก้ไขปัญหาไวรัสหลายๆ ตัว จำเป็นจะต้องยกเลิกคุณสมบัตินี้

ขั้นตอนการยกเลิก System Restore
1.คลิกขวาที่ My Computer
2.คลิกเลือก Properties
3.คลิกเลือกแท็ป System Restore
4.คลิกเลือก Turn off System Restore on all drives
5.คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยันอีกครั้ง

แค่นี้ เราก็จะมีพื้นที่ใน Harddisk เพิ่มขึ้น และแก้ไขปัญหาไวรัสได้ระดับหนึ่งด้วย เช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

HARDDISK

คอมพิวเตอร์มีส่วนที่สำคัญคือ ส่วนประมวลผล ส่วนรับข้อมูล และก็ส่วนแสดงผล แต่ก่อนที่คอมพิวเตอร์จะนำข้อมูลมาประมวลผลก็ต้องมีข้อมูล ซึ่งข้อมูลนั้นจะต้องถูกนำมาจากที่แห่งหนึ่งนั้นก็คือส่วนที่เรียกว่า Storage ซึ่งคอมพิวเตอร์ในยุคแรกจะเป็นกระดาษที่เป็นรู ซึ่งใช้งานยาก จากนั้นได้พัฒนามาใช้ แผ่นพลาสติกที่เครื่องด้วยสารแม่เหล็ก ที่เรียกว่า Diskette ต่อมาเมื่อข้อมูลมากขึ้นจำนวนการเก็บข้อมูลก็มากขั้นทำให้การเก็บข้อมูลลงบนแผ่น Diskette นั้นไม่เพียงพอ ต่อมาก็ทำการพัฒนามาเป็น Hard Disk ในปัจจุบัน

ระบบของ Hard disk ต่างจากแผ่น Diskette โดยจะมีจำนวนหน้าในการเก็บข้อมูลมากกว่า 2 หน้า ในการเก็บข้อมูลของ Hard Disk นั้นก็ไม่ต่างกับการเก็บข้อมูลลงบน Diskette ทั่วไปมากนัก Hard Disk ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กมากกว่า 2แผ่นเรียงกันอยู่บนแกน Spindle

ทำให้แผ่นแม่เหล็กหมุนไปพร้อมๆกัน Hard Disk ใช้หัวอ่านเพียงหัวเดียวในการทำงาน ทั้งอ่านและเขียนข้อมูล ในการเขียนข้อมูลหัวอ่านจะได้รับกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่คอยล์ของหัวอ่าน เพื่อรับข้อมูล เป็นการแปลงความหนาแน่นของสารแม่เหล็กที่เคลือบอยู่บน Disk ออกมาให้กับ CPU เพื่อทำการประมวลผล ส่วนการเก็บข้อมูล จะเก็บอยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอล โดยเก็บเป็นเลขฐาน 2 คือ 0 และ 1 การเก็บข้อมูลจะเริ่ม

Seek Time
เป็นระยะเวลาที่แกนยืดหัวอ่านเขียน Hard Disk เคลื่อนหัวอ่านเขียนไประหว่างแทร็คของข้อมูลบน Hard Disk ซึ่งในปัจจุบัน Hard Disk จะมีแทร็คข้อมูลอยู่ประมาณ 3,000 แทร็คในแต่ละด้านของแพล็ตเตอร์ ขนาด 3.5 นิ้ว ความสามารถในการเคลื่อนที่ จากแทร็คที่อยู่ไปยังข้อมูลในบิตต่อไป อาจเป็นการย้ายตำแหน่งไปเพียง อีกแทร็คเดียวหรืออาจย้ายตำแหน่งไปมากกว่า 2,999 แทร็คก็เป็นได้ Seek time จะวัดโดยใช้หน่วยเวลาเป็น มิลลิเซก (ms) ค่าของ Seek time ของการย้ายตำแหน่งของแขนยึดหัวอ่านเขียน ไปในแทร็คถัดไปในแทร็คที่ อยู่ติดๆกันอาจใช้เวลาเพียง 2 ms ในขณะที่การย้ายตำแหน่งจากแทร็คที่อยู่นอกสุดไปหาแทร็คที่อยู่ในสุด หรือ ตรงกันข้ามจะต้องใช้เวลามากถึงประมาณ 20 ms ส่วน Average seek time จะเป็นค่าระยะเวลาเฉลี่ย ในการย้ายตำแหน่ง ของหัวเขียนอ่านไปมาแบบสุ่ม (Random) ในปัจจุบันค่า Average seek time ของ Hard Disk จะอยู่ ในช่วงตั้งแต่ 8 ถึง 14 ms แม้ว่าค่า seek จะระบุเฉพาะคุณสมบัติในการทำงานเพียง ด้านกว้างและยาวของ แผ่นดิสก์ แต่ค่า Seek time มักจะถูกใช้ในการเปรียบเทียบ คุณสมบัติทางด้านความ เร็วของ Hard Disk ปกติจะเรียกรุ่นของ Hard Disk ตามระดับความเร็ว Seek ค่า Seek time ยังไม่สามารถแสดงให้ประสิทธิภาพทั้งหมดของ Hard Disk ได้ จะแสดงให้เห็นเพียงแต่การค้นหาข้อมูลในแบบสุ่ม ของตัว Drive เท่านั้น ไม่ได้แสดงในแง่ของ การอ่านข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential)

Cylinder Switch Time
เวลาในการสลับ Cylinder สามารถเรียกได้อีกแบบว่าการสลับแทร็ค (track switch) ในกรณีนี้แขนยึดหัวอ่านเขียนจะวางตำแหน่งของหัวอ่านเขียนอยู่เหนือ Cylinder ข้อมูลอื่น ๆ แต่มีข้อแม้ว่า แทร็คข้อมูลทั้งหมดจะต้องอยู่ใน ตำแหน่งเดียวกันของแพล็ตเตอร์อื่น ๆ ด้วย เวลาในการสลับระหว่าง Cylinder จะวัดด้วยระยะเวลาเฉลี่ยที่ตัว ไดร์ฟใช้ในการสลับจาก Cylinder หนึ่งไปยัง Cylinder อื่น ๆ เวลาในการสลับ Cylinder จะวัดด้วยหน่วย ms

Head Switch Time
เป็นเวลาสลับการทำงานของหัวอ่านเขียน แขนยึด หัวอ่านเขียนจะเคลื่อนย้ายหัวอ่านเขียนไปบนแพล็ตเตอร์ที่อยู่ในแนวตรงกัน หัวอ่านเขียนเพียงหัวเดียวทำหน้าที่อ่านหรือบันทึกข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ระยะเวลาในการสลับกันทำงานของหัวอ่านเขียนจะวัดด้วยเวลาเฉลี่ยที่ตัวไดร์ฟใช้สลับ ระหว่างหัวอ่านเขียน สองหัวในขณะ อ่านบันทึกข้อมูล เวลาสลับหัวอ่านเขียนจะวัดเป็นหน่วย ms

Rotational Latency
เป็นช่วงเวลาที่คอยการหมุนของแผ่นดิสก์ภายในการหมุนภายใน Hard Disk เกิดขึ้นเมื่อหัวอ่านเขียนวางตำแหน่งอยู่เหนือแทร็คข้อมูลที่เหมาะสม ระบบการทำงานของหัวอ่านเขียนข้อมูลจะรอให้ตัวไดร์ฟ หมุนแพล็ตเตอร์ไปยังเซ็กเตอร์ที่ถูกต้อง ช่วงระยะเวลาที่รอคอยนี้เองที่ถูกเรียกว่า Rotational Latency ซึ่งจะวัดเป็นหน่วย ms แต่ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับ RPM (จำนวนรอบต่อนาที)

การควบคุม Hard Disk
Hard Disk จะสามารถทำงานได้ต้องมีการควบคุมจาก CPU โดยจะมีการส่งสัญญาณการใช้งานไปยัง Controller Card ซึ่ง Controller Card แบ่งออกได้ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งจะกล่าวถึงเพียง 3 ชนิดที่ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน

IDE (Integrated Drive Electronics)
ระบบนี้มีความจุใกล้เคียงกับแบบ SCSI แต่มีราคาและความเร็วในการขนย้ายข้อมูลต่ำกว่า ตัวควบคุม IDE ปัจจุบันนิยมรวมอยู่ในแผงตัวควบคุม

SCSI (Small Computer System Interface)
เป็น Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่ ใช้ควบคุมอุปกรณ์เสริมอื่นที่เป็นระบบ SCSI ได้ เช่น Modem CD-ROM Scanner และ Printer ใน Card หนึ่งๆจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว

Serial ATA (Advanced Technology Attachment)
เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำเสนอ Parallel ATA มากว่า 20 ปี รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆที่ทำให้การอ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น วันนี้บริษัท Intel Seagate และบริษัทอื่นๆ คอยช่วยกันพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยี Serial ATA ขึ้นมาแทนที่ Serial ATA มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub มีจำนวน pin น้อยกว่า Parallel ATA Serial ATA II ของทาง Seagate คาดว่าจะออกวางตลาดภายในปี 2546 และจะทำงานได้กับ Serial ATA 1.0 ทั้งทางด้าน products และ maintain software

การบำรุงรักษา
การ Defrag ซึ่งก็คือการจัดเรียงข้อมูลใน Hard Disk เสียใหม่เพื่อให้ Hard Disk ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ทุกครั้งที่เราเขียนข้อมูล ไม่ว่าจะด้วยการติดตั้งโปรแกรมใหม่ หรือว่าใช้คำสั่ง Save จากโปรแกรมใดๆ ก็ตาม หรือการ Download ข้อมูล Program จาก Internet รวมไปถึงการ Copy ข้อมูลลงไปใน Hard Disk นั้น สิ่งที่เครื่อง คอมพิวเตอร์ต้องสั่งให้ Hard Disk ทำคือ เขียนข้อมูลเหล่านั้นลงไปบนพื้นที่ว่างบน Hard Disk ซึ่งการเขียนข้อมูลของ Hard Disk นั้นจะไม่เหมือนกับการเขียนข้อมูลในหนังสือหรือกระดาษอย่างที่เราทำกัน แต่โครงสร้างของ Drive จะแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ เป็นบล็อกอย่างที่เรารู้จักกันคือ Cluster ในการเขียนข้อมูลนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องเข้าไปจองพื้นที่เป็น Cluster โดยที่ไม่สนใจว่าจะใช้เต็มพื้นที่หรือไม่ ถ้าข้อมูลมีขนาดใหญ่เกินไปก็จะใช้พื้นที่หลายๆ Cluster ซึ่งจะว่าไปแล้วในตอนแรกนั้นข้อมูลก็ยังคงจะเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่อย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าเมื่อมีการใช้งานหนักเข้าเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Application ต่างๆ บนวินโดวส์จำเป็นต้องมีการเปิด File หลายๆ File พร้อมกัน รวมทั้งมีการเขียนและลบ File บ่อยๆ จะทำให้ข้อมูลกระจายออกไป

“ลายมือ” มีสิทธิ์สูญพันธุ์

ความเจริญของโลกทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นมรดกสำคัญมีโอกาสสูญหายไป นักเขียนคนหนึ่งในอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ “Script and Scribble: The Rise & Fall of Handwriting” ทำนายว่าการเขียนด้วยมือกำลังสูญพันธุ์อย่างช้า ๆ


คิตตี้ เบิร์นส์ ฟลอเรย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว บีบีซี ว่าศิลปะการเขียนหนังสือด้วยมือกำลังเสื่อมไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนรุ่นใหม่ใช้ปากกาเขียนหนังสือเองน้อยลงเพราะมีการใช้ระบบสื่อสารสมัยใหม่ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด ทำให้ไม่มีความจำเป็นในการเขียนหนังสือด้วยมืออีกต่อไป


ฟลอเรย์ระบุว่า การหัดคัดลายมือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนการสอน ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ผ่านมาและคนอังกฤษก็มีวิธี การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เห็นได้จากเรื่องราวในช่วงสงครามครั้งที่สอง เมื่อทหารเยอรมันปลอมตัวเป็นทหารช่างอังกฤษและแอบเข้าประเทศอังกฤษ เพื่อสอดแนมโดยไปตั้งแคมป.ในต่างจังหวัดแต่โดนจับได้เนื่องจากชาวบ้าน เห็นทหารคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่เหมือนคนอังกฤษ

สำนักข่าวบีบีซีสัมภาษณ์ มาร์ก บราวน์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมคาทอลิกที่เมือง Axminster,Devon พบว่าโรงเรียนเอง ก็ได้เปลี่ยนวิธีการสอนจากที่เคยเน้นการคัดลายมือให้สวยงามเป็นระเบียบ มาเป็นการให้ความสำคัญต่อเนื้อหาสาระของการเขียนมากกว่า

บราวน์ ระบุว่ายังมีการสอนให้เด็กหัดคัดลายมืออยู่และผู้ปกครองส่วนใหญ่อยากให้เป็นแบบเดียวกับสมัยของตัวเองแต่โรงเรียนก็ได้เปลี่ยนการให้ความ สำคัญ ซึ่งทำให้เด็กเขียนเนื้อหาได้ดีขึ้นแต่ลายมือแย่ลงเมื่อเทียบกับคนสมัยก่อน

ฟลอเรย์ระบุว่า ความสำคัญของการเขียนและอ่านลายมือจะลดลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นในวงการแพทย์เนื่องจากนายแพทย์ส่วนใหญ่ยังนิยมเขียน ด้วยมือในการวิเคราะห์โรค และใบสั่งยาแต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าลายมือของพวก หมออ่านยากที่สุดในโลกและบางครั้งก็เป็นต้นเหตุของการรักษาผิดพลาด

ประเทศไทยเองก็เป็นปัญหาอยู่เห็นได้จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ที่มีการขลิบอวัยวะเพศเด็กชายทั้งที่เด็กไปที่คลินิกเพื่อผ่าตัดฝีในปาก

สิ่งที่เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุที่เร่งให้การเขียนด้วยมือและลายมือสูญพันธุ์เร็วยิ่ง ขึ้นคือพัฒนาการของโทรศัพท์มือถือซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร สำหรับคน รุ่นใหม่และล่าสุดมีหนังสือขายดีในญี่ปุ่นเล่มหนึ่งชื่อ “ประสบการณ์ครั้งแรก” ของนักเรียนมัธยมญี่ปุ่นอายุ 22 ปีใช้นามปากกาว่า ยูมี-โฮตารุ ซึ่งแปลว่า หิ่งห้อยฝันเฟื่อง หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือขายดีเล่มแรกของโลกที่เขียน ด้วยการกดปุ่ม

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่านายหิ่งห้อยฝันเฟื่องเขียนหนังสือทั้งเล่มบน โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมคนรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นโดยเขียน เรื่องที่ละบรรทัดบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ที่มีอยู่หลายแห่งในญี่ปุ่น

ความนิยมของนิยาย “ประสบการณ์ครั้งแรก” ทำให้สำนักพิมพ์ชื่อดังติดต่อนาย หิ่งห้อยฝันเฟื่อง เพื่อขอลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีไปด้วย ช

าวญี่ปุ่นเรียกนิยายบนโทรศัพท์มือถือนี้ว่า ไคไต โชเซ็ทสุ หรือบทประพันธ์บน โทรศัพท์มือถือเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นักเขียนส่วน ใหญ่เป็นวัยรุ่นหญิงและชายซึ่งเขียนเรื่องต่างๆ
รวมทั้งประสบการณ์ตัวเอง บางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องปิดบังอำพราง อาทิ เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ การเสพยา การทำแท้ง เขียนบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ บทประพันธ์เหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้บนโทรศัพท์มือถือเป็นตอนๆ

ความก้าวหน้าทางการสื่อสาร และปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีส่วนสำคัญให้การเขียนหนังสือด้วยมือหดหายไปจากวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง ต้องกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง คนกลุ่มนี้ก็คือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน

มีรายงานว่ายอดการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนยังขยายตัวอยู่แต่ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเขียนในประเทศอเมริกาและประเทศต่างๆเริ่มไม่ แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจึงจัดให้มีโครงการส่งเสริมการเขียนหนังสือขึ้นใน หลายประเทศโดยร่วมกับสมาคมการเขียน อาทิ สมาคมอุปกรณ์เครื่องเขียน ของอเมริกาสนับสนุนการจัดงาน วันแห่งการคัดลายมือขึ้นทุกๆวันที่ 23 มกราคมของทุกปี

ในประเทศอังกฤษมีการจัดการแข่งขันการคัดลายมือในระดับประถมโดยหน่วย งานในอังกฤษที่มีชื่อว่า Support and Training inPrep Schools (SATIPS) โดยจัดขึ้นทุกปีเช่นกัน ในประเทศจีนและญี่ปุ่นเองก็เขียนตัวหนังสือเป็นศิลปะ ชนิดหนึ่งที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามฟลอเรย์เขียนในหนังสือของเธอว่าในอนาคตลายมือของคนจะ เลวร้ายลงไปเป็นลำดับและในที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งอ่านยากเหมือนกับคัมภีร์ โบราณ และเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับในสมัยก่อนที่การเขียนหนังสือ ต้องอาศัยอาลักษณ์ที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไขปัญหาหนังไม่มีภาพ เพลงไม่มีเสียง

ไอคอนลำโพงหายไปไหน...???
ช่วยด้วยครับ ลำโพงตรงทาส์กบาร์ด้านล่างขวาสุดหายไป ทำยังไงจึงจะให้มีรูปลำโพงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่สามารถปรับสียงได้เลย วานช่วยหาวิธีการแก้ไขให้ทีครับ หลายคนเมื่อเจอปัญหานี้ก็มักตกอกตกใจ คิดว่าวินโดวน์เจ๊งอีกแล้ว จริง ๆ แล้วปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นมาได้ 2 กรณีคือ
- ไดรเวอร์การ์ดเสียงหายไป
- กำหนดให้ไอคอนลำโพงไม่แสดงขึ้นมา

โดยในกรณีแรกนั้นอาจเกิดจากไดรเวอร์การ์ดเสียงหายไป ทางแก้ไขก็ให้ทำการติดตั้งไดรเวอร์การ์ดเสียงลงทับไปใหม่ ซึ้งมีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกขวาที่ไอคอน My computer แล้วเลือกคำสั้ง properties
2. คลิกไปที่แท็ป Device Manager
3. คลิกปุ่ม Refresh เพื่อให้วินโดวส์ทำการค้นหาอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้ติดตั้งไดรเวอร์
4. รอสักครู่ก็จะปรากฏหน้าต่าง Add New Hardware wizard ขึ้นมา ซึ่งจะมีตัวเลือก 2 ตัวเลือก คือ

Automatic search . . .
ให้วินโดวส์ทำการค้นหาไดรเวอร์ให้อัตโนมัติ ซึ่งหากว่ามีไดรเวอร์อยู่ในเครื่อง หรือมีแผ่นไดรเวอร์อยู่ในซีดีรอม วินโดวน์ก็จะนำมาติดตั้งให้ทันที

Specify the location
ทำการติดตั้งไดรเวอร์ด้วยตัวเอง ในที่นี้ขอเลือกตัวเลือก Specify the location…
5. คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป
6. เลือกไปที่ตัวเลือก Search for the best… เพื่อให้วินโดวส์ค้นหาไดรเวอร์จากไดรว์ซีดีรอมหรือไดรว์ A
7. คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Removable Media ... เพื่อทำการติดตั้งไดรเวอร์จากแผ่นไดรเวอร์ ซึ่งคุณต้องใส่แผ่นไดรเวอร์ลงไปในซีดีรอมด้วย
8. คลิกปุ่ม Next
9. รอสักครู่วินโดวส์ก็จะทำการค้นหาไดรเวอร์ เมื่อค้นหาพบแล้วก็ให้คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป
10. คลิกปุ่ม Finish แล้วรอสักครู่ วินโดวส์ก็จะทำการติดตั้งไดรเวอร์ให้ทันทีจากนั้นก็ให้บูตเครื่องใหม่ เมื่อเข้าสู่วินโดวส์อีกครั้ง ก็จะพบกับไอคอนลำโพงปรากฏอยู่บนทาส์กบาร์แล้ว

แต่ถ้าหากว่าปัญหาเกิดจากไอคอนลำโพงได้ถูกกำหนดให้ไม่แสดงขึ้นมา วิธีแก้ไขก็ต้องเข้าไป กำหนดให้วินโดวส์แสดงไอคอนลำโพงขึ้นมา ซึ่งมีวิธีการทำดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start จากนั้นคลิกเลือกตัวเลือก Settings>Control Panel
2. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Sounds and Multimedia
3. เลือกที่แท็ป Sounds
4. ในส่วนล่างของแท็บ Sounds ให้คลิกเลือกที่ตัวเลือก Show Volume…
5. คลิกปุ่ม OK เพียงเท่านี้ลำโพงก็จะปรากฏอยู่บนทาส์กบาร์แล้ว

6 รหัสอันตรายที่ทำให้เครื่องคุณไม่มีเสียง
- ข้อผิดพลาด “ MMSystem263. This is not a registered MCI device
- ข้อผิดพลาด “MIDI output error detected.”
- ข้อผิดพลาด “WAV sound playback error detected”
- ข้อผิดพลาด “No wave device that can play files in the current format is installed.”
- ข้อผิดพลาด “ You audio hardware connot play files like the current file.”
- ข้อผิดพลาด “MMSYSTEM296. The file cannot be played on the specified MCI device.”

หากว่าใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่ดี ๆ ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็มีข้อความเหล่านี้ขึ้นมาก็ให้ทำใจได้เลยว่า ตอนนี้กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเสี่ยงวินโดวส์โดยอุปกรณ์ 1 ใน 2 อย่างนี้เป็นตัวก่อปัญหาขึ้นมา Wave Audio device, CD Audio device ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นก็มีดังนี้ ตรวจสอบว่าการ์ดเสียงของคุณเปิดใช้งานหรือยัง
1. คลิกขวาที่ไอคอน My Computer แล้วเลือกคำสั่ง Properties
2. คลิกไปที่แท็ป Device Manager
3. คลิกเครื่องหมาย (+) ที่ตัวเลือก Sound, Video and Game Controllers
4. ดับเบิ้ลคลิกที่การ์ดเสียง
5. แล้วตรวจสอบว่าที่ตัวเลือก Disable in this hardware profile มีเครื่องหมายถูกอยู่หรือเปล่า ถ้ามีเครื่องหมายถูกหน้าตัว Disable in this hard ware profile อยู่ก็ให้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือกนี้ออก
6. คลิกปุ่ม OK 2 ครั้ง แล้ววินโดวส์จะถามว่าต้องการที่บูตเครื่องใหม่หรือไม่ ก็ให้ทำการบูตเครื่องใหม่ เมื่อบูตเครื่องขึ้นมาก็ลองตรวจดูว่ามีเสียงออกมาหรือยัง

ตรวจสอบว่าการ์ดเสียงได้รับเลือกให้เป็นอุปกรณ์ที่ต้องการแล้วหรือยัง
ไปในส่วน Control Panel แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Sound and Multimedia เลือกที่แท็บ Audio ในส่วนของ Sound Playback และ Sound Recording ให้ตรวจสอบว่าเลือกการ์ดเสียงในกล่อง Preferred device แล้วหรือยัง ถ้ามีการเลือก (None) หรืออุปกรณ์อื่นในกล่อง preferred device ก็ให้เลือกเป็นรุ่นการ์ดเสียงที่ใช้แทน คลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า

ตรวจสอบว่า วินโดวส์ได้กำหนดค่าให้ใช้คุณลักษณะเสียงของการ์ดเสียงแล้วหรือยัง
เข้าไปในส่วน Multimedia ที่ Control Panel แล้วคลิกที่แท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Audio Devices ดับเบิ้ลคลิกที่การ์ดเสียง จากนั้นตรวจสอบว่าได้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Use audio features on this device แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ได้เลือกก็ให้คลิกเลือกตัวเลือกนี้ เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม OK จนกระทั่งกลับไปยัง Control Panel ให้ปิดหน้าต่าง Control Panel แล้วทำการบู๊ตเครื่องใหม่

ตรวจสอบว่าคุณติดตั้งอุปกรณ์ Wave Audio แล้วหรือยัง
ให้เข้าไปที่ส่วน Multimedia ใน Control Panel แล้วคลิกที่แท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Media Control Devices ดูให้แน่ใจว่าได้ติดตั้ง Wave Audio Device (Media Control) หรือยังถ้าหากว่ามีการติตตั้งแล้วก็ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Wave Audio Device (Media Control) ดูให้แน่ใจว่าได้เลือกตัวเลือก Use this Media Control device แล้วถ้ายังก็ให้คลิกเลือก คลิกปุ่ม OK

แต่ถ้ายังไม่ได้ติดตั้ง Wave Audio Device (Media Control) ก็ให้กลับไปหน้า Control Panel ก่อนแล้วให้ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Add New Hardware คลิกปุ่ม Next ไปเรื่อย ๆ วินโดวส์ ก็จะถามว่าต้องการที่จะให้วินโดวส์ ทำการหาอุปกรณ์ให้โดยอัตโนมัติหรือไม่ ให้เลือกตัวเลือก No. I want to select….. คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป

ภายใต้ส่วนของ Hardware types ให้คลิกเลือกตัวเลือก Sound, Video and Game Controllers คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป ในส่วนของ Manufacturers ให้เลือกตัวเลือก Microsoft MCI แล้วให้คลิกเลือกตัวเลือก Wave Audio Device (Media Control) ในส่วนของ Models คลิกปุ่ม Next ต่อมาคลิกปุ่ม Finish

ถ้าได้รับแจ้งให้ใส่ซีดีรอมติดตั้งโปรแกรมวินโดวส์ ก็ให้ใส่แผ่นติดตั้งลงไป แล้วคลิกปุ่ม OK เลือกไปที่โฟลเดอร์วินโดวส์ที่อยู่ในแผ่นซีดีรอม จากนั้นก็คลิกปุ่ม OK สุดท้ายวินโดวส์ก็จะทำการติดตั้งไฟล์ เมื่อติดตั้งเสร็จวินโดวส์จะให้ทำการบู๊ตเครื่องใหม่ ก็ให้คลิกปุ่ม Yes ได้ทันที เมื่อเข้าวินโดวส์อีกครั้งก็ให้ลองตรวจสอบดูว่า ปัญหาแก้ไขได้แล้วหรือยัง

ตรวจสอบว่าคุณติดตั้งอุปกรณ์เสียงซีดีแล้วหรือยัง
ขั้นแรกให้เข้าไปในส่วน Multimedia ของ Control Panel แล้วคลิกแท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Media Control Devices

ดูให้แน่ใจว่าการแสดง CD Audio Device (Media Control) ในรายการแล้วหรือยัง ถ้ามีการแสดงอุปกรณ์นี้ในรายการแล้ว ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ตัวเลือก CD Audio Device (Media Control) ดูให้แน่ใจว่าได้เลือก Use this Media Control dอvice แล้วหรือยัง

ถ้ายังก็ให้คลิกเลือกตัวเลือก Use this Media Control device จากนั้นคลิกปุ่ม OK จนกระทั่งกลับเข้าสู่ส่วนของ Control Panel อีกครั้ง ก็ให้คุณลองทดสอบดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง

ในกรณีที่ไม่มีการแสดงอุปกรณ์ CD Audio Device (Media Control) นี้ในรายการ ก็ให้ติดตั้งอุปกรณ์นี้ ในส่วนของ Models ก็ให้เลือกตัวเลือก CD Audio Device (Media Control) แทนเท่านั้นเองครับ


วิธีแก้ไขภาพกระตุกเมื่อชมภาพยนตร์
ในการชมภาพยนตร์นั้นหากว่าอัตราการรีเฟรซภาพ (การกะพริบของหน้าจอ) ไม่เร็วภาพที่ออกมาก็จะมีอาการกระตุก ๆ แต่อาการกระตุกก็อาจเกิดจากเครื่องเล่นซีดีเก่าเกินไปหรือแผ่นที่ดูนั้นอาจไม่ดีก็ได้ ซึ่งหากว่ามีการรีเฟรซแล้วอาการกระตุกยังไม่หาย ก็ให้ตรวจสอบจากจุดนี้ด้วยโดยขั้นตอนการปรับอัตราการรีเฟรซของภาพให้เร็วขึ้นก็สามารถทำได้ดังนี้
1. คลิกขวาบนพื้นที่ว่าง ๆ ของเดสก์ทอป แล้วเลือกไปที่คำสั่ง Properties
2. คลิกไปที่แท็ป Settings
3. เลือกสีในส่วนของ Color เป็น 256 Color
4. เลือกความละเอียดในส่วนของ Screen ไปที่ 640 by 480 pixels
5. คลิกปุ่ม Ok เพื่อทำการบันทึกค่า เพียงเท่านี้ก็จะทำให้อัตราการรีเฟรซของภาพเร็วขึ้นแล้วครับ


วิธีการปรับแต่งไมโครโฟน
ในการปรับแต่งไมโครโฟนนั้นสามารถปรับแต่ได้ในส่วนของ Sound ที่อยู่ใน Control Panel โดยเมื่อทำการเสียบไมโครโฟนลงไปในซาวน์การ์ดแล้วก็สามารถทำงานได้ทันที แต่ในบางครั้งเราอาจจะไปปิดเสียงของไมโครโฟนไว้ ผลที่ตามมาเมื่อพูดใส่โมโครโฟนก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ทำให้หลายคนคิดไปว่าไมโครโฟนเสียแน่ ๆ ) ซึ่งขั้นตอนในการใช้ไมค์นั้นสามารถทำได้ดังนี้
1. ดับเบิ้ลคลิกไอคอนรูปลำโพงข้างล่างทางซ้ายมือของจอภาพ
2. คลิกเมนูคำสั่ง Option>Properties
3. จะพบตัวเลือกให้เลือกอยู่ 2 ตัวเลือกคือ
- Playback
แสดงรายละเอียดของเสียที่จะออกมา
- Recording
แสดงรายละเอียดของการปรับรายละเอียดของการอัดเสียง ก็ให้เลือกที่ตัวเลือกแรก
4. คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Microphone ในส่วนของ Show all…
5. คลิกปุ่ม OK
6. เพียงเท่านี้ก็สามารถปรับเสียงดัง-เบาได้แล้ว โดยการเลื่อนตัวปรับระดับเสียงในส่วนของ Microphone
7. หากว่าต้องการปรับรายละเอียดเพิ่มเติมของไมโครโฟน ก็ให้คลิกปุ่ม Advanced
8. ซึ่งเราสามารถปรับเสียงสูง (Treble) เสียงต่ำ (Bass) ได้ในส่วนของ Tone Controls
9. เมื่อทำการปรับแต่งจนพอใจแล้ว ก็ให้คลิกปุ่ม Close เท่านี้ก็สามารถใช้งานไมโครโฟนได้แล้วครับ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คีย์ลัดใส่ขอบให้เซลใน Excel

วันนี้ถือโอกาสแนะนำคีย์ลัดที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์สเปรดชีต Excel กันบ้าง นั่นคือ การใส่ขอบให้กับเซลต่างๆ ในสเปรดชีต

ผู้ใช้บางท่านอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสะดวกนักกับการที่จะต้องละมือจากคีย์บอร์ด เพื่อไปใช้เมาส์คลิกใส่ขอบให้กับช่องเซลต่างๆ ในสเปรดชีต คีย์ลัดต่อไปนี้น่าจะช่วยได้ ขั้นแรกให้คุณไฮไลต์เซลที่ต้องการใส่ขอบ จากนั้นกดปุ่ม Ctrl + Shift + & เพียงแค่นี้เส้นขอบก็จะปรากฏขึ้นล้อมรอบเซลที่คุณเลือกเรียบร้อยแล้ว

ในกรณีที่คุณต้องการลบเส้นขอบออกไปก็สามารถทำได้ด้วยคีย์ลัดเหมือนกัน โดยเริ่มต้นจากไฮไลต์เซลทั้งหมดที่อยู่ในเส้นขอบที่ต้องการลบออกไป จากนั้นกดปุ่ม Ctrl + Shift + _ เพียงแค่นี้ ขอบก็จะถูกลบออกไปแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า ถ้าไม่ใช้เมาส์แล้วจะไฮไลต์เซลต่างๆ ที่ต้องการตีขอบได้อย่างไรใช่ไหมครับ? อันนี้คงต้องทบทวนกันนิดหนึ่งนั่นคือ คุณสามารถใช้ปุ่ม Shift ช่วยได้ โดยกดปุ่ม Shift ค้างไว้ในขณะที่ใช้ปุ่มลูกศรเคลื่อนไปยังเซล หรือกลุ่มเซลที่ต้องการไฮไลต์ คราวนี้ก็ร้องอ๋อได้แล้วนะครับ

รวมคำสั่ง Run ที่ใช้ทั้งหมด

เรียกโปรแกรม Accessibility Options —> access.cpl
เรียกโปรแกรม Add Hardware —> hdwwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Add/Remove Programs —> appwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Administrative Tools control —> admintools
ตั้งค่า Automatic Updates —> wuaucpl.cpl
เรียกโปรแกรม Bluetooth Transfer Wizard —> fsquirt
เรียกโปรแกรม เครื่องคิดเลข (Calculator) —> calc
เรียกโปรแกรม Certificate Manager —> certmgr.msc
เรียกโปรแกรม Character Map —> charmap
เรียกโปรแกรม ตรวจสอบดิสก์ (Check Disk Utility) —> chkdsk
เรียกดูคลิปบอร์ด (Clipboard Viewer) —> clipbrd
เรียกหน้าต่างดอส (Command Prompt) —> cmd
เรียกโปรแกรม Component Services —> dcomcnfg
เรียกโปรแกรม Computer Management —> compmgmt.msc
เรียกดู/ตั้ง เวลาและวันที่ —> timedate.cpl
เรียกหน้าต่าง Device Manager —> devmgmt.msc
เรียกดูข้อมูล Direct X (Direct X Troubleshooter) —> dxdiag
เรียกโปรแกรม Disk Cleanup Utility —> cleanmgr
เรียกโปรแกรม Disk Defragment —> dfrg.msc
เรียกโปรแกรม Disk Management —> diskmgmt.msc
เรียกโปรแกรม Disk Partition Manager —> diskpart
เรียกหน้าต่าง Display Properties control desktop —> desk.cpl
เรียกหน้าต่าง Display Properties เพื่อปรับสีวินโดวส์ —> control color
เรียกดูโปรแกรมช่วยแก้ไขปัญหา (Dr. Watson) —> drwtsn32
เรียกโปรแกรมตรวจสอบไดร์ฟเวอร์ (Driver Verifier Utility) —> verifier
เรียกดูประวัติการทำงานของเครื่อง (Event Viewer) —> eventvwr.msc
เรียกเครื่องมือตรวจสอบไฟล์ File Signature Verification Tool —> sigverif
เรียกหน้าต่าง Folders Options control —> folders
เรียกโปรแกรมจัดการ Fonts —> control fonts
เปิดไปยังโฟลเดอร์ Fonts (Fonts Folder) —> fonts
เรียกเกม Free Cell —> freecell
เปิดหน้าต่าง Game Controllers —> joy.cpl
เปิดโปรแกรมแก้ไข Group Policy (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> gpedit.msc
เรียกโปรแกรมสร้างไฟล์ Setup (Iexpress Wizard) —> iexpress
เรียกโปรแกรม Indexing Service —> ciadv.msc
เรียกหน้าต่าง Internet Properties —> inetcpl.cpl
เรียกหน้าต่าง Keyboard Properties —> control keyboard
แก้ไขค่าความปลอดภัย (Local Security Settings) —> secpol.msc
แก้ไขผู้ใช้ (Local Users and Groups) —> lusrmgr.msc
คำสั่ง Log-off —> logoff
เรียกหน้าต่าง Mouse Properties control mouse main.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Connections control netconnections —> ncpa.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Setup Wizard —> netsetup.cpl
เรียกโปรแกรม Notepad —> notepad
เรียกคีย์บอร์ดบนหน้าจอ (On Screen Keyboard) —> osk
เรียกหน้าต่าง Performance Monitor —> perfmon.msc
เรียกหน้าต่าง Power Options Properties —> powercfg.cpl
เรียกโปรแกรม Private Character Editor —> eudcedit
เรียกหน้าต่าง Regional Settings —> intl.cpl
เรียกหน้าต่าง Registry Editor —> regedit
เรียกโปรแกรม Remote Desktop —> mstsc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage —> ntmsmgr.msc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage Operator Requests —> ntmsoprq.msc
เรียกดู Policy ที่ตั้งไว้ (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> rsop.msc
เรียกหน้าต่าง Scanners and Cameras —> sticpl.cpl
เรียกโปรแกรม Scheduled Tasks control —> schedtasks
เรียกหน้าต่าง Security Center —> wscui.cpl
เรียกหน้าต่าง Services —> services.msc
เรียกหน้าต่าง Shared Folders —> fsmgmt.msc
คำสั่ง Shuts Down —> shutdown
เรียกหน้าต่าง Sounds and Audio —> mmsys.cpl
เรียกเกม Spider Solitare —> spider
แก้ไขไฟล์ระบบ (System Configuration Editor) —> sysedit
แก้ไขการตั้งค่าระบบ (System Configuration Utility) —> msconfig
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มทันที) —> sfc /scannow
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มเมื่อบู๊ต) —> sfc /scanonce
เรียกหน้าต่าง System Properties —> sysdm.cpl
เรียกหน้าต่าง Task Manager —> taskmgr
เรียกหน้าต่าง User Account Management —> nusrmgr.cpl
เรียกโปรแกรม Utility Manager —> utilman
เรียกโปรแกรม Windows Firewall —> firewall.cpl
เรียกโปรแกรม Windows Magnifier —> magnify
เรียกหน้าต่าง Windows Management Infrastructure —> wmimgmt.msc
เรียกหน้าต่าง Windows System Security Tool —> syskey
เรียกตัวอัพเดตวินโดวส์ (Windows Update) —> wupdmgr
เรียกโปรแกรม Wordpad —> write

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำไม Windows ชัตดาวน์ช้ามากๆ

เคยไหมครับว่า ขณะที่คุณกำลังรีบเร่งจะกลับบ้าน แต่พอชัตดาวน์คอมพ์ที่อยู่ตรงหน้า คุณกลับต้องรอมากกว่า 5 นาทีระบบถึงจะปิดตัวเองเรียบร้อย เหตุการณ์สมมติที่อาจจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณผู้อ่านหลายๆ คนจนกองบรรณาธิการวินทิปคิดว่า มันน่าจะมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้ Windows XP ชัต แล้วไม่ค่อยจะยอมดาวน์ซักที หลังจากที่ค้นหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มากมายก็พบว่า ปัญหาใหญ่สุดที่เป็นตัวการสำคัญที่ให้การชัดดาวน์ช้าเกินเหตุก็คือ การถอดถอนโพรไฟล์ผู้ใช้ขณะนั้น (current user profile) ออกจากหน่วยความจำนั่นเอง สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็เนื่องจากว่า เมื่อโปรแกรมของผู้ผลิตรายอื่น หรือแม้แต่แอพพลิเคชันของไมโครซอฟท์เองที่บางครั้งไม่สามารถออกจากหน่วยความจำของระบบได้หมดจด (ยังคงเหลือค้างบางโมดูลการทำงานของโปรแกรม หรือบริการบางอย่างในระบบ) หน้าที่ของ Windows ก็คือ มันจะต้องใช้ความพยายามทั้งหมด เพื่อถอดถอนโพรไฟล์ออกไปจนกว่าระบบจะยอมรับว่า ไม่สามารถทำได้ มันจึงค่อยชัตดาวน์ และถึงแม้ว่า คุณจะหาพบแอพพลิเคชันที่เป็นต้นตอของปัญหา แต่คุณก็คงจะทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี (นอกจากเลิกใช้โปรแกรมนั้น แต่ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายไป หรือเปล่า)

ไมโครซอฟท์เข้าใจถึงปัญหานี้ดี ทางบริษัทจึงได้พัฒนายูทิลิตี้แจกฟรีที่สามารถทำความสะอาดโพรไฟล์ของผู้ใช้ที่ตกค้างออกจากระบบได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งทำให้คุณไม่ต้องพบกับปัญหาการรอคอยที่ยาวนานขณะชัตดาวน์ ยูทิลิตี้ดังกล่าวชื่อว่า User Profile Hive Cleanup Service

เมื่อคุณสั่งรัน และติดตั้งตามขั้นตอนวิเศษ คุณอาจจะรู้สึกว่า ตัวโปรแกรมติดตั้งไม่เห็นได้ทำอะไรให้เลย แต่ถ้าคุณเปิดดูรายชื่อของบริการที่ทำงานอยู่ในขณะนั้น คุณก็จะพบกับบริการใหม่ที่กำลังทำงานอยู่แบคกราวด์

ไอเดียของบริการนี้ก็คือ มันจะทำหน้าที่เรียกคืนทรัพยากรระบบทั้งหมด เมื่องาน(task) หนึ่งๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว (หน่วยความจำ ส่วนจัดการต่างๆ เป็นต้น) โดยมันจะคอยสอดส่องผู้ใช้ที่ล็อกออฟ และทวนสอบว่า มีทรัพยากรระบบที่ไม่ถูกใช้และต้องเรียกคืน หรือไม่ ซึ่งด้วยวิธีนี้ทำให้ระบบทราบทันทีว่า มีโพรไฟล์ใดที่ไม่ถูกใช้งาน แต่ยังคงค้างอยู่ และต้องกำจัดออกไป คราวนี้ ไม่ว่าคุณจะชัตดาวน์ ล็อกออฟ หรือรีสตาร์ท ระบบก็จะสามารถตอบสนองได้ภายในไม่กี่วินาที (แทนที่จะต้องไปพะวงกับความพยายามถอดถอนโพรไฟล์ตกค้างในหน่วยความจำ)

โปรดใช้วิจารณญาณในการ - Click คลิก

เคยไหม ?...นั่งเช็คอีเมล์ในกล่อง Inbox ทีไร วันดีคืนดี จะมี Forward Mail ส่งต่อขอความช่วยเหลือสารพัดรูปแบบ วนๆ เวียนๆ เข้ามาหา

FW: ลูกหาย!!! : ช่วย Forward ต่อด้วยนะคะ....

FW: ต้องการเลือดกรุ๊ป O ด่วน ช่วยชีวิตพี่ชาย....

FW: ช่วย forward ด้วย เด็กจะได้รับเงินบริจาค 11 เซ็นต์ต่อ 1 เมล์

Fw: ช่วยกันส่งต่อ เป็นการทำบุญ 1 ชีวิต

หัวข้อขอความช่วยเหลือทำนองนี้ มีให้เห็นกันบ่อยๆ ยิ่งถ้า Forward Mail ไหน มีภาพ หรือข้อความสะเทือนใจ ถ้าไม่ทำอะไรก็รู้สึกตัวเองจะ "ใจดำ" เกินไปหน่อย...ช่วยๆ เขาหน่อย แค่ฟอร์เวิร์ดต่อ ก็ยังดี

ทันใดนั้น เมล์ฉบับที่ว่า จะยิ่งถูกส่งต่อ ส่งต่อ และส่งต่อ กันไปเรื่อยๆ

แต่สักกี่คนจะรู้ว่าเพียงแค่ "คลิกเดียว" ของคุณ ที่ส่งต่อ Forward Mail ขอความช่วยเหลือออกไป อาจเป็นได้ทั้ง "คุณ" และ "โทษ" จากเรื่องใกล้ตัว ที่หลายคนไม่ทันได้ฉุกคิด....

คลิกเดียว...เป็นเรื่อง

ทันทีที่เปิดอ่านอีเมล์ขอความช่วยเหลือฉบับหนึ่ง ว่า มีคุณแม่คนหนึ่ง ตั้งครรภ์เป็นพิษ ต้องการขอรับบริจาคเลือดด่วน! หญิงสาวผู้หวังดี ไม่รอช้า รีบส่งเมล์ถึงเพื่อนๆ ในลิสต์รายชื่อภายในออฟฟิศทันที

ใครจะคิดว่า เพียงแค่ "คลิกเดียว" ในวันนั้น จะก่อเรื่องปวดหัว วุ่นวาย ตามมาไม่หยุด เพราะเมล์เจ้ากรรม ยังถูกส่งต่อๆ ไปอย่างไม่ยั้ง แม้เหตุการณ์นี้ จะผ่านไปถึง 2 ปี แล้วก็ตาม

"แค่คลิกครั้งเดียวนี่แหละ ส่งถึงคน 40 คนในบริษัท แต่จำขึ้นใจเลยค่ะ...เพราะทุกวันนี้ ยังมีคนโทรศัพท์เข้ามา อีเมล์เข้ามาถามอยู่เรื่อยๆ บางทีงานยุ่งๆ ก็ปวดหัวเหมือนกัน ไม่รู้จะทำยังไง แก้ยังไง ก็แก้ไม่จบ เพราะเมล์ฉบับนั้น ไม่มีใครไปหยุดมันได้" หญิงสาวผู้หวังดี ไม่ประสงค์ออกนาม แต่ยินดี เล่าเรื่องของเธอ ไว้เป็นเคสอุทาหรณ์

ตัวเธอเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ตอนนั้น ด้วยความหวังดี อยากจะช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนจริงๆ พออ่านเมล์แล้ว เลยส่งต่อให้เพื่อนๆ และคนในบริษัทอีก 40 คน

แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทุกครั้งที่คลิกส่งอีเมล์ถึงกันภายในบริษัท จะถูกตั้งค่าไว้อัตโนมัติ ด้านท้ายจะแนบนามบัตรติดโลโก้ของบริษัท พร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ตามติดไปกับอีเมล์ด้วย

จากที่คิดว่าส่งกันเฉพาะเป็นการภายในให้กับคนในออฟฟิศด้วยกัน แต่ "น้ำใจที่ปลายนิ้ว" ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะมันถูกส่งกระจายออกไปภายนอกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น บางคนอ่านแล้วหวังดี ยิ่งเห็นว่า อีเมล์นี้มีต้นทางจากคนในบริษัทที่น่าเชื่อถือ เลยช่วยเอาข้อความไปโพสต์ไว้ตามกระทู้ต่างๆ ตามเว็บประดามีในอินเทอร์เน็ต

โทรศัพท์สายแล้ว สายเล่า กริ๊งกร๊างโทรเข้ามาสอบถามไม่หยุดหย่อน เรื่องวุ่นๆ จึงไม่จบแค่โดนคนในบริษัทต่อว่า จนต้องชี้แจงกันยกใหญ่ เพราะเมล์ที่ถูก Forward ต่อๆ กันไป บางครั้งมีผู้หวังดีอื่นๆ ต่อเติม หรือดัดแปลงข้อความ จนเลยเถิด ยุ่งกันใหญ่ เพี้ยนไปจนถึงขั้นเกิดการเข้าใจผิดว่า คนที่ป่วย คือ ตัวเธอเอง

“ตอนหลังเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ผู้หญิงคนนั้นเขาเสียชีวิตมา 5 ปีได้แล้ว แต่ตอนที่ได้รับเมล์ขอความช่วยเหลือนั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จบแล้วหรือยัง แค่คิดว่าเราอยากจะช่วย”

เธอ เล่าว่า ทุกวันนี้ อีเมล์ขอความช่วยเหลือลักษณะนี้ ยังมีเข้ามาเรื่อยๆ และเยอะมาก บางเมล์บอกว่า เด็กป่วยเป็นโรคนั้น โรคนี้ ถ้าช่วยคลิก หรือส่งต่อ จะได้รับเงินบริจาคเท่านั้นเท่านี้

ด้วยนิสัยคนไทย จะมีน้ำใจชอบช่วยเหลือกันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่คนจะสนใจที่หัวข้อและเนื้อหาที่ส่งมา มากกว่าที่จะย้อนไปดูว่า เมล์นี้ ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ยอมรับว่า ช่วงแรกๆ เข็ดไปเลย ไม่กล้า Forward Mail ขอความช่วยเหลืออย่างนี้อีก แต่จริงๆ มันเป็นช่องทางหนึ่งที่ดีนะ ที่คนในสังคมช่วยเหลือกันได้ หลังๆ ตัวเองเลยใช้วิธีสกรีนมากขึ้น ถ้าจะ Forward Mail ต่อ จะดูว่าเรื่องนี้ มันจริงมั๊ย และจบไปหรือยัง หรือส่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอ ให้แง่คิด

การส่งต่อขอความช่วยเหลือผ่าน Forward Mail เป็นช่องทางการสื่อสารที่มีอานุภาพสูง...แต่ถ้าจะให้ดีต้องใช้ให้ถูกวิธี และมีวิจารณญาณ

"ตราบาป" ไม่เจตนา

“เดี๋ยวนี้ ช่องทางออนไลน์ เป็นช่องทางหนึ่ง ที่คนในสังคมใช้ช่วยเหลือกันมากขึ้น ทั้ง Forward Mail ประกาศตามหาคนหาย ตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดต่างๆ เช่น เคยมีเคสของเด็กถูกลักพาตัว ที่โพสต์ในเว็บพันทิป ก็มีคนตื่นตัว เข้ามามีส่วนร่วมแจ้งเบาะแส กันเยอะมาก” ธิติมา หมีปาน หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา เล่า

5 ปีของการเปิดตัวเว็บไซต์ backtohome.org ทำหน้าที่ทั้งเฝ้าระวัง และช่วยเหลือติดตามคนหาย ผ่านช่องทางออนไลน์ เธอ พบปัญหาว่า บ่อยครั้งที่การส่งต่อเคสความช่วยเหลือ ผ่าน Forward Mail บางเคสแม้จะตามหาจนพบแล้ว แต่ Forward Mail นั้น ก็จะยังคงถูกส่งต่อไปไม่รู้จบ

“กรณียิ่งถ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่หายออกจากบ้าน พอเมล์ถูกส่งแพร่ไปในระบบ มักจะโดนคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะบุคคลคนใกล้ชิดที่ทราบข่าว จะคิดต่อ หรือมองไปในทางเสียหาย แล้วว่า ทำไมถึงหายออกจากบ้าน ครอบครัวมีปัญหา หรือถูกล่อลวง ไปในทางที่ไม่ดี”

ซ้ำร้ายกว่านั้น กรณีถ้าเด็กถูกล่อลวง หรือโดนข่มขืน และมีข่าวออกมาภายหลัง นั่นหมายถึง ภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่เคยถูกส่ง Forward Mail ไปก่อนหน้านี้ จะมีคนรู้จักไปทั่วเพราะถูกส่งว่อนแล้วในระบบอินเทอร์เน็ต

“เคยมีเคสหนึ่ง เป็นเด็กผู้ชายติดเกมส์ หนีออกไปจากบ้าน ครอบครัวก็เอารูป และข้อความไปโพสต์ตั้งกระทู้ประกาศตามหา ในเว็บต่างๆ ตอนหลังหาตัวเด็กเจอแล้ว แต่มีเพื่อนของน้องคนนี้ ที่ไปอ่านเจอกระทู้ในอินเทอร์เน็ต แล้วก็เอามาล้อ จนเด็กรู้สึกอาย และไม่อยากไปโรงเรียน”

บางครั้ง ในบางกรณี จึงเหมือนกับเป็น "ตราบาป" หรือประวัติติดตัว...เพราะเจตนาดีแท้ๆ

“ในเว็บไซต์ของเรา จะมีฐานข้อมูลผู้สูญหาย และมีเว็บบอร์ดให้คนเข้ามาตั้งกระทู้ และขึ้นรูปภาพ แต่ถ้าเป็นกรณีเด็กผู้หญิง เราพยายามจะไม่เอารูปขึ้น เพราะว่าจะมีผลกระทบเมื่อเด็กกลับมาแล้ว

ตอนนี้ เราอยู่ระหว่างพูดคุยกันในทีม ว่ารูปแบบ Forward Mail ที่ดี ควรต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง เป็นไปได้มั๊ย ที่จะมีการจัดระบบขึ้นมา ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมหาข้อมูลได้ที่ไหน หรือเวลาเด็กหาย ครอบครัวจะส่งเมล์หรือโพสต์ประกาศตามหา แต่เวลาหาเจอแล้ว อาจจะไม่เคยมีการส่งข้อมูลอีกว่า หาเจอแล้วนะ เคสนี้จบแล้ว” ธิติมา เล่า

บูมเมอแรงของความช่วยเหลือ

“Forward Mail อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชีวิตในโลกออนไลน์ แต่มุมหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือ ที่คนไม่ค่อยมองถึง คือ ผลข้างเคียง ที่เป็นบูมเมอแรง ส่งกลับไปยังคนที่ได้รับการช่วยเหลือ” รุ่งฟ้า เกียรติพจน์ ผู้อำนวยการด้านการบริหารภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารการตลาด บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล่า

เพราะหลายคนมักจะมองเพียงว่า ฉันช่วยแล้ว ฉันให้เงินไปแล้ว คือ ช่วยแล้วก็จบกัน หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว

ถ้ายังพอจำกันได้ ต้นปี 2550 ภาพยนตร์โฆษณาชุด "ปาติหาน" ของ "ทรู" เรื่องราวของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ ส่งอีเมล์ขอความช่วยเหลือ “ใครมีปาติหานบ้างครับ ผมมีเงินเก็บ 80 บาท น้องของผม ไม่สะบายมาก...”

กระแสที่เกิดขึ้นหลังโฆษณาชุดนั้น ออกอากาศ ฟอร์เวิร์ดเมล์นับไม่ถ้วน รวมถึงคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ไหลบ่าเข้ามากระทบความรู้สึกของ "คนทำงาน" เข้าอย่างจัง

จนต้องลุกขึ้นมาเปิดเว็บไซต์ในชื่อ helplink.net เป็นสื่อกลาง จุดนัดพบของคนให้ และคนรับ ที่เชื่อในพลังของการช่วยเหลือ เว็บน้องใหม่นี้เพิ่งจะเปิดตัวได้ 2 เดือน

แต่ระหว่างขลุกตัวอยู่กับเคส Forward Mail ขอความช่วยเหลือสารพัดรูปแบบ ทำให้ทั้งรุ่งฟ้า และทีมงาน มองเห็นอะไรบางอย่าง เป็นแง่มุมที่น่าสนใจใต้ปรากฏการณ์เหล่านี้

“ส่วนใหญ่เคสที่ได้รับ Forward มา เมื่อเราโทรกลับไปเช็คประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ อาจจะเสียชีวิตไปหมดแล้ว ยกตัวอย่างเคสหนึ่ง คุณแม่เขาเสียไปประมาณปีกว่าแล้ว แต่เมล์นั้นก็ยังถูก Forward ในระบบอยู่ และเจ้าตัวเขาต้องคอยรับโทรศัพท์ที่คนโทรเข้ามาจะช่วยเหลือวันละหลายสิบสาย เพื่อที่จะตอบซ้ำๆ ว่า คุณแม่ผมเสียไปแล้ว”

รุ่งฟ้า เล่าว่า เจอเคสอย่างนี้ค่อนข้างมาก คือ เคสจบไปแล้ว แต่ยังคงได้รับการส่งต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ล่องลอยอยู่ในระบบ กำจัดได้ไม่หมด เพราะไม่รู้ว่ากระจายไปอยู่ที่ไหนบ้าง

จึงจุดประกายความคิดที่ว่า น่าจะต้องมีใครสักคน ลุกขึ้นมาจัดระเบียบความช่วยเหลือออนไลน์ ให้คนที่อยากช่วยเหลือ ได้ช่วยอย่างสบายใจ ส่วนคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ก็มีจุดนัดพบมาเจอกันบน helplink.net

“ส่วนหนึ่งในเว็บของเรา จะมีพื้นที่แจ้งข่าวว่า เคสไหนที่จบไปแล้ว คุณมาฝากข่าวไว้ได้ Forward Mail ฉบับนั้นๆ มันจะได้หยุดสักที บางครั้งทุกคนตั้งใจดี แต่เมื่อไม่มีการจัดการตรงนี้ กลับยิ่งทำให้คนที่ถูกช่วยเหลือ กลับยิ่งเป็นทุกข์ไปอีก คนที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว เขาจะหลุดทุกข์ไม่ได้ บางคนอาจจะไม่รับโทรศัพท์ หรือเปลี่ยนเบอร์ใหม่ไปเลย แต่ก็มีบางคน ที่ยังต้องคอยรับโทรศัพท์เพื่อตอบคำถามเดิมๆ ”

อีกหลากหลายปัญหาของการ Forward Mail ที่พบ เช่น ให้รายละเอียดข้อมูลไม่เพียงพอ อยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะติดต่ออย่างไร และเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จบไปแล้วหรือยัง

บางเคส น่าเสียดายที่การให้ความช่วยเหลืออาจช้าเกินไป ถ้ามีใครสักคนที่มีความพร้อม ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างทันการณ์ตั้งแต่ทีแรก...บางทีปาฏิหาริย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้มากกว่านี้

จัดระเบียบ "น้ำใจ"

ทั้งๆ ที่รู้ว่าการส่ง Forward Mail ขอความช่วยเหลือ อาจจะย้อนกลับมาสร้างภาระกับคนส่ง ในระยะยาว แต่ก็เป็นความหวัง และวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพื่อรอคอยปาฎิหาริย์ ที่เกิดจากความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้ามีวิธีที่จะช่วยให้ปาฏิหาริย์แห่งการช่วยเหลือมีโอกาสเป็นจริง เร็วขึ้น ดีขึ้น มีระบบ ระเบียบมากขึ้น โดยไม่เพิ่มภาระกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นที่ผ่านมา

รุ่งฟ้า อธิบายถึงวิธีจัดการ เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์ ศูนย์กลางความช่วยเหลือของคนในสังคม ที่ดีไซน์ผ่านหน้าเว็บ helplink.net ไว้อย่างชัดเจน มีทั้งส่วนที่แบ่งตามหมวดหมู่ความช่วยเหลือไว้ตามความเร่งด่วนของแต่ละเคส เช่น เคสช่วยด่วน ที่เกี่ยวกับคนป่วยหนัก คนหาย ภัยธรรมชาติ , เคสช่วยกันให้ชื่นใจ ที่จะเป็นการระดมความช่วยเหลือทั่วไป เช่น ช่วยเด็กด้อยโอกาสที่ต้องผ่าตัดหัวใจ , และเคสช่วยให้กำลังใจ

เธอ เล่าว่า เคสที่ขอความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านหน้าเว็บไซต์ จะต้องผ่านการสมัคร และสกรีนจาก 14 มูลนิธิพันธมิตร เช่น ศูนย์บริหารโลหิต สภากาชาดไทย มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ สภาสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งอย่างน้อย จะเป็นด่านหนึ่งในการคัดกรอง รวมทั้งรูปแบบการเปิดบัญชี จะต้องจ่ายผ่านมูลนิธิ ไม่ใช้การเปิดบัญชีตรงส่วนตัว

“บางคน ถ้าความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา ถ้ามีปัญหาใช้เงินไม่เป็น จะเกิดปัญหา เช่น โดนญาติหลอก หรือบางคน เคสจบแล้ว แต่ไม่ยอมจบ ยังขอความช่วยเหลือต่ออย่างนี้ก็มี

เราเลยพยายามทำหน้าที่เป็นเวที ให้คนเชื่อมั่น ช่วยเหลือได้สบายใจ บริจาค หรือช่วยเหลือได้เต็มที่

แต่ส่วนที่เป็นพื้นที่แสดงความเห็นบนเว็บบอร์ด เราจะเขียนข้อความไว้เลยว่า กรุณาใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วยตัวเอง เพราะมันอาจจะมีเคสที่มั่วเข้ามาโพสต์บ้าง ซึ่งเราไม่สามารถไปควบคุมได้ ”

นอกจากนี้ ทางทีมงานจะมีการอัปเดตความเคลื่อนไหว ว่าเคสความช่วยเหลือไหนที่จบแล้ว หรือจบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงวางระบบสมัครสมาชิก ต้องล็อกอินเข้ามา จึงสามารถดึงเอาเคสจากในเว็บ ไปช่วย Forward ต่อ โดยรูปแบบเนื้อหา จะบอกเพียงข้อมูลเบื้องต้น และสร้างลิงค์ให้เข้ามาดูต่อบนเว็บไซต์

"อยากบอกว่า ในสังคมออนไลน์ คุณสามารถช่วยคนได้อีกหลายร้อยคน เพราะบางครั้งเงินก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ แต่อาจจะเป็นคำพูดดีๆ ให้กำลังใจ ที่คุณมอบให้ เข้ามาโพสต์ นั่นก็เหมือนกับได้ช่วยคนอื่นๆ ไปด้วย" รุ่งฟ้า ว่าอย่างนั้น

การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จึงทำอะไรได้อีกหลายอย่าง มากกว่าแค่การ "คลิก" เดียวจบ และถ้าคิดจะ "คลิก" ก็ควรคลิกอย่างมีวิจารณญาณ

WebOS

เมื่อเราถามใครสักคนว่า "คุณเคยได้ลองเล่น WebOS แล้วหรือยัง" อาจได้รับคำตอบว่า "ทำไมถึงควรลองล่ะ? ในเมื่อเครื่องของผม ก็มีระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว"

นี่เป็นเพราะคำว่า "WebOS" เป็นชื่อที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิด อันที่จริง WebOS ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการแบบโปรแกรมวินโดวส์หรือลินุกซ์ ความจริงน่าจะเรียกว่า "เว็บเดสก์ทอป" จะตรงความหมายมากกว่า!

โปรแกรมที่เป็นระบบปฏิบัติการจริงจะต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนบูต มันจะต้องบริหารทรัพยากรต่างๆของระบบ (คือฮาร์ดแวร์ และอุปกรณ์รอบข้าง) รับการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ และตอบสนองโดยการจัดสรรทรัพยากรให้โปรแกรมที่ทำงานตามการร้องขอจากผู้ใช้ ทำหน้าที่ "ดูแลบ้าน" คืองานพื้นฐานต่างๆ เช่น จัดสรรหน่วยความจำ ระบบไฟล์ การติดต่อกับระบบเครือข่าย เปิดโปรแกรม และดูให้โปรแกรมต่างๆ ทำงานได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน

เดสก์ทอปทู (Desktoptwo) เป็น WebOS ที่โดดเด่นที่สุดตัวหนึ่ง ใช้งานได้ฟรี มีที่เก็บข้อมูลให้ 1 กิกะไบต์ มีอีเมล์แอดเดรสให้ มี blog ให้ มีโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันให้ครบครับ

แม้ตอนนี้จะมีแต่บริษัทเล็กๆโนเนม สร้าง WebOS ออกมาให้เราใช้ฟรี แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์หลายรายอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์ในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็น...
- กูเกิ้ล มีกูเกิ้ลเดส์ทอป ซึ่งเป็นโปรแกรมในลักษณะ WebOS
- ยาฮู เองก็มีเนื้อหาที่สามารถนำมาใช้กับ WebOS ได้อยู่มาก
- ไมโครซอฟท์ อาจผนวก WebOS ไว้ในระบบปฏิบัติการรุ่นต่อไป
- แอปเปิ้ล มีองค์ประกอบทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้เพื่อสร้าง WebOS ครบแล้ว
- Mozilla Foundation โมซิลลาอาจสร้าง WebOS กับเขาด้วยหากไฟร์ฟอกซ์มีฐานผู้ใช้มากพอ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ระวัง!!! iPhone ถูกแฮคได้ด้วย SMS

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด สองนักวิจัยเผยค้นพบช่องโหว่ของฟังก์ชันการส่งข้อความ SMS บน iPhone ที่เสี่ยงต่อการถูกแฮคเข้าไปควบคุมการทำงานของระบบได้ โดยการเปิดเผยครั้งนี้ เกิดขึ้นในงานประชุมสัมนาในหัวข้อเกียวกับระบบรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ทีมีชือว่า Black Hat ซึ่งจัดขึ้นในลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

Charlie Miller และ Colin Mulliner ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยพบช่องโหว่ในวิธีจัดการของ iPhone กับการส่งข้อความ SMS ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮคเกอร์สามารถเข้าควบคุมการทำงานของมือถือ iPhone ได้อย่างสมบูรณ์ โดยการแฮคจะมาในรูปของการกระหน่ำส่งข้อความ SMS ที่ประกอบด้วยตัว"อักษรสีเหลี่ยมจัตุรัส"เพียงตัวเดียว!!!

หลังจากที่เจาะเข้าไปใน iPhone ได้แล้ว แฮคเกอร์จะสามารถควบคุมการหมุนหมายเลขของมือถือ การเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนกล้องของ iPhone แถมยังสามารถส่งข้อความ SMS อันตรายไปยังเจ้าของ iPhone รายอื่นๆ เพื่อเข้าควบคุมเครื่องในลักษณะเดียวกันได้อีกด้วย Miller กล่าวว่า "ช่องโหว่นี้ถือว่าซีเรียสมาก เพราะวิธีเดียวที่คุณจะป้องกันได้คือ ปิดมือถือ iPhone ของคุณซะ เพราะอาจมีใครบางคนสามารถเข้าควบคุม iPhone ทุกเครื่องทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีนี้"

มิลเลอร์ยังกล่าวอีกด้วยว่า "ในโลกของธุรกิจ ช่องโหว่นี้มีมูลค่า (ในทางมิชอบ) เพราะถ้าหากคุณสามารถยับยั้งการตัดสินใจ หรือการรับสายของคู่แข่งได้ สำหรับช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัยบนมือถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งไม่มีทางที่จะปิดมันเป็นความลับนี้ได้"

เขายังอ้างอีกด้วยว่า ได้แจ้งให้ Apple ทราบเกี่ยวกับข้อผิดพลาดดังกล่าวเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว แต่ทางบริษัทยังไม่ได้ออกแพตช์ เพื่ออุดช่องโหว่การโจมตีในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งสองยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ช่องโหว่ดังกล่าวสามารถใช้ได้กับมือถือทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android และ Windows Mobile ด้วย

พลเมืองเน็ตเสนอบังคับใช้กฎหมายคอมฯ

ต่อการบังคับใช้กฎหมายกับคดีทางคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 3 ข้อ ตั้งเป้าทุกภาคส่วนสะท้อนปัญหา หวังแก้ไขกฎหมายเดิม ผ่านโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน...

นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล คณะกรรมการ เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า ในกรณีของเว็บไซต์สมัยใหม่ที่เรียกว่า เว็บ 2.0 ที่เปิดให้ผู้ใช้บริการเผยแพร่เนื้อหาได้เอง โดยไม่ต้องผ่านผู้ดูแลเว็บไซต์นั้น ถือเป็น ผู้ให้บริการ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หรือ พ.ร.บ.คอมฯ 2550 ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทำให้ยากที่จะตรวจตราข้อมูลทุกชิ้นได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ในคดีต่าง ๆ ที่ผ่านมาในรอบสองปีพบว่า แม้ผู้ดูแลเว็บไซต์จะได้จัดการกับเนื้อหาดังกล่าวทุกครั้งที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือใช้ดุลยพินิจว่าอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายแล้วก็ตาม แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดนั้นเอง

คณะกรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวต่อว่า ข้อบังคับและการบังคับที่ทำให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม นอกจากจะไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้แล้ว ยังมีแนวโน้มให้การกำกับดูแลเป็นไปได้อย่างยากลำบาก

นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายฯ จึงมีข้อเสนอต่อประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต สังคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องค์กรบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อสารมวลชน ดังนี้

1.เจ้าหน้าที่ควรพยายามจับกุมผู้กระทำผิด มิใช่จับกุมตัวกลาง

2.เจ้าหน้าที่รัฐ สังคม และสื่อสารมวลชน จำเป็นต้องปฏิบัติกับผู้ต้องหาในฐานะผู้บริสุทธิ์ และ

3.ผู้คนในสังคมควรมีทัศนคติต่อพื้นที่ออนไลน์ เกมคอมพิวเตอร์ และร้านอินเทอร์เน็ต ว่าเป็นดังเช่นกิจกรรม และพื้นที่ทั่วไปในสังคม

คณะกรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวด้วย ต้องการให้ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ สื่อสารมวลชน และประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ร่วมสะท้อนปัญหาและประเด็นห่วงใย เพื่อนำไปสู่วิธีปฏิบัติร่วมกัน ตลอดจนแก้ไขกฎหมายเดิมและเสนอกฎหมายใหม่ ที่จำเป็นต่อสิทธิเสรีภาพในสังคมข้อมูลข่าวสาร อาทิ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ยังมิได้ตราเป็นกฎหมาย ทั้งนี้เครือข่ายฯ จะประสานผ่านทางโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ที่เว็บไซต์ไอลอ(http://ilaw.or.th/) ต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ

เทรนด์ไมโครเตือนภัยบ็อตเน็ตบนไซเบอร

ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยเผยเป็นตัวแรกของอุปกรณ์เคลื่อนที่ ลวงให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดผ่านเว็บเกี่ยวกับมือถือ บ่งชี้ถึงการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงของมัลแวร์...

นายโจนาธาน ลีโอแพนโด ทีมสื่อสารด้านเทคนิค บริษัท เทรนด์ ไมโคร อิงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ พบมัลแวร์ที่มีผลต่อระบบปฏิบัติการซิมเบียน “SYMBOS_YXES.B” สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์เกี่ยวกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่เป็นอันตรายโดยผู้ใช้ไม่เกิดความสงสัย โดยไฟล์ Symbian Information Source (SIS) จะเก็บรวบรวมรหัสโทรศัพท์และรหัสของผู้สมัครใช้งาน รวมถึง ข้อมูลเครือข่ายที่อยู่ในอุปกรณ์ที่ติดมัลแวร์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ในการส่งข้อมูล

"นอกจากนี้ ไฟล์ดังกล่าวยังสามารถส่งเอสเอ็มเอสที่เป็นสแปมไปยังรายชื่อที่ติดต่อต่างๆ ของผู้ใช้ที่ได้มาจากเว็บไซต์และการเชื่อมต่อก่อนหน้านี้ โดยสรุปแล้ว สิ่งที่พบน่าจะเป็นลักษณะของบ็อตเน็ตบนโทรศัพท์มือถือ" ทีมสื่อสารด้านเทคนิค บ.เทรนด์ ไมโครฯ กล่าว

ด้าน นายริก เฟอร์กูสัน ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความปลอดภัย บริษัท เทรนด์ ไมโคร อิงค์ กล่าวว่า ภายในปี 2552 จะพบบ็อตเน็ต 3G ตัวแรก และมีความเป็นไปได้สูงว่า เรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้ ไฟล์ดังกล่าวได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือและสามารถส่งข้อมูลกลับได้ เนื่องจาก รู้ตำแหน่งที่ตั้งในการสื่อสาร สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ในส่วนของมัลแวร์อุปกรณ์เคลื่อนที่อีกด้วย บริษัทต่างๆ ควรตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหมดขององค์กรได้รับการป้องกันด้วยไฟร์วอลล์ เพื่อสกัดกั้นการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อันตราย พร้อมดำเนินการป้องกัน สแปม เอสเอ็มเอส เข้ารหัสลับข้อมูล และให้ใช้การกรอง URL ร่วมด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคโหลดวิดีโอจากยูทูบง่ายเกินคาด

ไม่ต้องลงโปรแกรม หรือติดตั้งปลั๊กอินใดๆ ในเบราว์เซอร์ให้ยุ่งยาก แค่เว็บไซต์เดียวซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ไม่ต้องจำ ไม่ต้องสอน ก็ "สอย" วิดีโอดีๆ นับล้านๆ คลิปที่อยู่ในยูทูบได้ฟรีๆ

วิธีการก็เพียงแค่ เมื่อเปิดเจอวิดีโอไหนที่ต้องการดาวน์โหลด ก็แค่พิมพ์คำว่า "kick" ลงไปหน้าลิงก์นั้น ๆ

เช่น ลิงก์ของวิดีโอผู้จัดการมีที่อยู่เว็บดังนี้http://www.youtube.com/watch?v=u7-44fgpss8

เราก็เพียงพิมพ์คำว่า kick ลงไปข้างหน้าคำว่า Youtube ดังนี้ http://kickyoutube.com/watch?v=u7-44fgpss8

ก็จะมีแถบเครื่องมือของ KickYouTube ปรากฏอยู่ด้านบนของหน้าเว็บเพจปกติของยูทูบ

ขั้นตอนดาวน์โหลด
1. เลือกนามสกุลไฟล์ที่ต้องการนำไปใช้งาน ได้แก่ FLV, MPG, MP3, HD, MP4, iPhone

2. กดที่ปุ่มด้านขวามือที่เขียนว่า "Go"

3. จะมีป๊อปอัพขึ้นมาให้คุณกด "Save"

KickYouTube ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไว และเร็ว ในการดาวน์โหลดวิดีโอจากยูทูบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป

ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการ online